ประชาสังคม จัดเวทีคู่ขนานเออีซี ดัน ปชช.มีส่วนร่วมพัฒนาอาเซียน
ภาคประชาสังคม 10 ประเทศอาเซียนเตรียมจัดเวทีพีเพิลฟอรัม คู่ขนานอาเซียนซัมมิทรัฐ 29-31 มี.ค.ที่กัมพูชา ดันประชาชนมีส่วนร่วมพัฒนาอาเซียน จี้เปิดเผยข้อมูลแผนพัฒนาถกข้อดี-เสีย
วันที่ 20 มี.ค. 55 ที่สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย เครือข่ายภาคประชาชนจัดประชุม “สร้างอาเซียนให้มีความหมายได้อย่างไร” โดยนางสุนทรี หัตถี เซ่งกิ่ง เลขาธิการคณะกรรมการประสานงานองค์กรพัฒนาเอกชน (กป.อพช.) เปิดเผยต่อศูนย์ข่าวเพื่อชุมชน สำนักข่าวอิศราว่า ที่ประชุมมีมติเสนอต่อรัฐบาลไทยด้านการพัฒนาภาคประชาชนอาเซียน 4 ประเด็น คือ 1.ปรับปรุงกระบวนการให้ภาคประชาชนมีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็นในทิศทางการขับเคลื่อนอาเซียน 2.สร้างเวทีถาวรให้ภาคประชาชนสามารถสื่อสารและนำเสนอปัญหาและการพัฒนาต่อรัฐ 3.ประชาชนต้องมีบทบาทกำหนดนโยบายพัฒนาประชาคมอาเซียน และ4.ผลักดันการขึ้นทะเบียนองค์กรภาคประชาสังคม
นอกจากนี้ที่ประชุมยังมีมติให้มีการจัดประชุมภาคประชาสังคมของอาเซียน(ACSC) และการประชุมพีเพิล ฟอรั่มของอาเซียน (APF) เพื่อเป็นเวทีจัดคู่ขนานกับการประชุมอาเซียนซัมมิทในระดับรัฐบาล โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสนับสนุนแนวคิดให้ประชาชนเป็นศูนย์กลางพัฒนาอาเซียน และจะมีการทำกิจกรรมร่วมกันระหว่างเครือข่ายภาคประชาชนทั้ง 10 ประเทศอาเซียน มีการแลกเปลี่ยนประเด็นปัญหา เช่น มนุษยชน สิ่งแวดล้อม เกษตร ประมง เพื่อสรุปเป็นข้อเสนอต่อเวทีประชุมผู้นำอาเซียนให้กำหนดเป็นทิศทางการพัฒนาประชาคมอาเซียนต่อไป
ทั้งนี้เวทีคู่ขนานของภาคประชาชนนี้ จะมีการหมุนเวียนไปตามสถานที่จัดประชุมอาเซียนซัมมิท ซึ่งปีนี้จะมีขึ้นวันที่ 29-31 มี.ค. 55 ณ กรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชา
“การมีส่วนร่วมภาคประชาชนไทยมีพัฒนาการดีกว่าหลายประเทศในอาเซียน แม้จะยังไม่ตอบโจทย์ร้อยเปอร์เซ็นต์ ดังนั้นเพื่อให้การก้าวสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) สำเร็จควรมีกระบวนการรับฟังความคิดเห็นที่เป็นรูปธรรม และสามารถนำไปสู่การปฏิบัติของรัฐบาลจริงจัง” นางสุนทรีกล่าว
ด้านน.ส.เปรมฤดี ดาวเรือง ผู้อำนวยการร่วมโครงการฟื้นฟูนิเวศในภูมิภาคแม่น้ำโขง (TERRA) มูลนิธิฟื้นฟูชีวิตและธรรมชาติ กล่าวว่า ภายหลังตั้งเออีซีกังวลว่าการมีส่วนร่วมของภาคประชาชนในการแก้ปัญหาด้านทรัพยากรจะน้อยลง เพราะรัฐบาลแทบทุกประเทศมุ่งเน้นเพียงการเติบโตทางเศรษฐกิจซึ่งเกี่ยวโยงกับโครงการขนาดใหญ่ เช่น เขื่อน สวนป่า เหมืองแร่ ซึ่งเป็นผลประโยชน์ระยะสั้นแต่สร้างผลกระทบระยะยาว ดังนั้นเสนอว่าอาเซียนควรมีแผนป้องกันการใช้ทรัพยากรอย่างยั่งยืน ซึ่งจะทำให้การพัฒนามีประโยชน์กับประชาชนส่วนใหญ่มากกว่าตกอยู่กับกลุ่มทุนขนาดใหญ่
นายสะมะแอ เจะมูดอ นายกสมาคมชาวประมงพื้นบ้านแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ไทยยังไม่พร้อมที่จะก้าวสู่การเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนในปี 2558 เพราะขณะนี้ยังไม่มีแผนดำเนินการรองรับที่ชัดเจน รวมทั้งการเผยแพร่ให้ประชาชนรับรู้ว่าจะมีผลดีผลเสียอย่างไร ทั้งที่เป็นสิทธิที่จะรับรู้ตามรัฐธรรมนูญ อีกทั้งรัฐบาลให้ความสำคัญกับนักลงทุนที่มีผลต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจมากเกินไป ละเลยการพัฒนาสังคมและวัฒนธรรมในท้องถิ่น
นายสะมะแอ กล่าวอีกว่าด้านการประมงไทยอาจได้รับผลกระทบทั้งข้อดีและข้อเสียพร้อมๆกัน ข้อดีคือมีการถ่ายทอดเทคโนโลยีใหม่ในการประมงและเกิดการหลั่งไหลของนักลงทุนต่างชาติเข้ามาสร้างกิจกรรมอาชีพแก่คนไทย ขณะที่ข้อเสียคือ 1.การเปิดเสรีการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ จะส่งผลให้กลุ่มทุนต่างชาติเข้ามาแย่งจับจองพื้นที่ชายฝั่งที่มีศักยภาพในการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำมากเกินไป จนคนไทยไม่มีพื้นที่ทำกิน
2.การเปิดเสรีทำประมง แม้จะอนุญาตให้แต่ละประเทศสามารถจับสัตว์น้ำโดยไม่จำกัดอาณาเขต แต่รัฐบาลจะยืนยันได้อย่างไรว่าเครื่องมือแต่ละประเทศที่ใช้แตกต่างกันจะไม่ทำลายทรัพยากรทางทะเล และ 3.โครงการพัฒนาพื้นที่ชายฝั่ง จะเกิดการก่อสร้างท่าเรือน้ำลึก ท่าเทียบเรือท่องเที่ยว โรงไฟฟ้า โรงแรม และสิ่งก่อสร้างมากมาย ที่อาจบั่นทอนความเป็นอยู่ของคนท้องถิ่นจนต้องย้ายถิ่นฐาน
“รัฐบาลต้องเปิดเผยข้อมูลและขั้นตอนอย่างละเอียดแก่คนในท้องถิ่น มิใช่ปิดบังข้อมูลเพราะกลัวการต่อต้าน เพื่อให้ชาวบ้านมีส่วนร่วมในการกำหนดแผนเออีซีด้วย มิเช่นนั้นไม่ใช่การปกครองแบบกระจายอำนาจ แต่เป็นรัฐบาลแบบรวมศูนย์อำนาจ” นายสะมะแอกล่าว .