กระบวนการยุติธรรมกับคดีทัวร์ศูนย์เหรียญ
“ทัวร์ศูนย์เหรียญ” ถูกวิพากษ์ให้เห็นเป็นปัญหาของบ้านเมืองมาหลายปีแล้ว ครั้นมายุค คสช.ที่คลื่นนักท่องเที่ยวจีนไหลเข้ามามากมายจนกลายเป็นที่พึ่งของเศรษฐกิจไทย ทาง คสช.และตำรวจ จึงประโคมโหมเดินเครื่องกระบวนการยุติธรรม หวังจะใช้โทษทัณฑ์ทางอาญามาปราบปรามทัวร์พวกนี้ให้ราบคาบ ลงมือดำเนินคดีใหญ่ไป 1 คดี กับบริษัทโอเอ ยึดรถทัวร์เขาเป็นพันคัน ใช้กฎหมายฟอกเงินอายัดทรัพย์สินเขากว่า 3,600 ล้านบาท ประโคมข่าวกันใหญ่โต ผ่านไป 1 ปี ศาลอาญาท่านกลับ บอกว่าไม่มีหลักฐานพอฟังได้ ก็เลยยกฟ้อง แต่ธุรกิจเขาเสียหายเป็นหมื่นล้านไปแล้ว ร้อนถึง ผบ.ตร.ต้องลงมาตรวจสอบสำนวนว่า ตำรวจพญาไทมวยล้มหรือไม่ ทุกวันนี้จะอุทธรณ์กันอย่างไรก็น่าปวดหัวอยู่ เพราะจะสืบพยานเพิ่มเติมอะไร ก็ทำไม่ได้อีกแล้ว
ระหว่างที่กำลังเกาหัวกันแกรกๆ อยู่นี้ ก็มีการเดินหน้ายกฐานะตำรวจท่องเที่ยวจากกองบังคับการเป็นกองบัญชาการ มีพลตำรวจตรีหวานเจี๊ยบๆมือปราบทัวร์ศูนย์เหรียญเจ้าเก่าขึ้นคุมอำนาจในคราบรองผู้บัญชาการ ในอาทิตย์ที่ผ่านมานี้ก็คึกคักอาศัยคำสั่ง คสช.ที่ 13/2669 สนธิกำลังตำรวจทหารศุลการักษ์ ขนส่ง กว่าครึ่งร้อย ลุยตรวจบริษัทในธุรกิจทัวร์กว่า 7 บริษัท ถ่ายทำออกข่าวไปทั่วโลกราวกับลุยมาเฟียเลยทีเดียว
ขบวนการใช้กฎหมายอย่างครึกโครมด้วยอำนาจพิเศษ กับธุรกิจมูลค่าหลายพันล้าน แต่ลงท้ายเป็นการยึดรถให้บริการท่องเที่ยวป้ายแดงไม่กี่คน สินค้าไม่ปิดฉลากไม่กี่ชิ้น มัคคุเทศก์เถื่อนไม่กี่คนอย่างนี้ จะถูกต้องสมเหตุผลหรือไม่ประการใด เปิดโอกาสให้ใครรีดไถงาบอะไรกันได้บ้าง ก็นับเป็นปัญหาใหญ่ ที่ผมขอสังเคราะห์มานำเสนอในทำนองปุจฉา-วิสัชนา ไปโดยลำดับดังนี้
ทัวร์ศูนย์เหรียญ : เงาในน้ำ?
ถาม : “ทัวร์ศูนย์เหรียญ” มีอยู่จริงไหม?
ตอบ : มันมีอยู่จริง แต่เราอาจจะมองและจัดการกับมันไม่ถูกต้องก็ได้ เหมือนหมาคาบเศษเนื้อแล้วมองลงไปในน้ำ กลับเห็นเป็นเนื้อสันก้อนใหญ่พออ้าปากเห่า เศษเนื้อก็ร่วงตกน้ำไปเลย พอมองผิด คิดผิด คดีที่ฟ้องศาลก็เลยแพ้ ชาวจีนทางบ้านที่เห็นข่าวก็หวาดกลัว เศรษฐกิจท่องเที่ยวก็พัง เราก็เลยต้องนั่งมองจีดีพี ลุ้นกันเป็นวันๆต่อไปถาม มันเป็น “เงาในน้ำ”ที่ตรงไหน
ตอบ : ตามที่พูดกันนั้น ก็บอกว่ามีบริษัททัวร์ที่เมืองจีน ขายทัวร์เมืองไทยในราคาถูก เช่น 6 วัน หัวละ 16000 จัดเป็นกรุ๊ปนั่งเครื่องบินเหมาลำมาเมืองไทย แล้วก็มีบริษัททัวร์ในเมืองไทยรับโอนลูกทัวร์ทั้งหมด มาจัดการอีกทีหนึ่ง โดยจ่ายเงินให้ต้นทางอีกหัวละ 2,000 แล้วก็เอามาจัดการซื้อบริการโรงแรม บริการรถเที่ยว ที่ถูกที่สุดโดยคิดเปอร์เซ็นต์นายหน้าให้มากที่สุด แล้วก็หามไปซื้อของที่ระลึกจากร้านที่ให้เปอร์เซ็นต์สูงที่สุด รวมเปอร์เซ็นต์ทั้งหมดแล้วก็คุ้มเกิน 2000เกิดกำไรได้ในที่สุด
นักท่องเที่ยวจีนที่ซื้อทัวร์เมืองไทยถูกๆ แล้วพอมาถึงเมืองไทยกลับไม่มีเงินเหลือไว้บริการเลย แค่ค่าเครื่องบินก็หมดแล้ว เหลือ “ศูนย์เหรียญ”ไปแล้วอย่างนี้นี่เอง ที่ว่ากันว่าเหมือนกับการค้ามนุษย์ รับช่วงมารีดมาไถกันในเมืองไทย เกิดปัญหาไม่เป็นธรรมต่างๆ นานา จนรัฐบาลจีน-ไทย ต้องมาคุยกันว่าจะจัดการกันอย่างไร
ถาม : เห็นว่าพวกบริษัทธุรกิจท่องเที่ยวในไทย ที่รับช่วงค้ามนุษย์มานี้ ต่างก็เป็นบริษัทของคนจีน ที่เอาคนไทยมาบังหน้าด้วยใช่ไหม
ตอบ : ว่ากันว่าอย่างนั้น ว่ามีทั้งบริษัททัวร์ ที่พัก รถท่องเที่ยว ของที่ระลึก ร้านอาหาร พวกนี้ฟังแล้วก็ทำให้เราเกิดฟิลลิ่งชาตินิยมขึ้นมาว่า คสช.ต้องจัดการคนจีนพวกนี้กันให้เด็ดขาด ซึ่งจะมีปัญหามากทั้งข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย
สำรวจอาวุธทางกฎหมาย
ถาม : เรื่องซื้อบริการถูกๆมาขายนักท่องเที่ยวโดยชักส่วนแบ่งนายหน้า ทั้งที่พัก รถท่องเที่ยว ร้านอาหาร และร้านขายของที่ระลึกอย่างนี้ เป็นเรื่องธรรมดาไปเอาผิดติดคุกกันได้อย่างไร?
ตอบ : ความไม่ถูกต้องมันอยู่ที่ บริษัทกรุ๊ปทัวร์ในจีนเอานักท่องเที่ยวมาขายต่อในไทย ส่งต่อให้ธุรกิจในไทยขูดรีดจากนักท่องเที่ยวเอาเอง การมุ่งขายคนขูดรีดคนมากกว่าขายธุรกิจขายบริการด้วยเหตุด้วยผลอย่างนี้มันไม่ถูกต้อง ถ้าทำกันเป็นขบวนการถาวรเป็นล่ำเป็นสัน งุบงิบซ่อนตัวอยู่ใต้ดิน ก็ถือกันได้ว่าขบวนการนี้เป็นภัยต่อเศรษฐกิจการท่องเที่ยว ใครร่วมสังกัดอยู่ด้วย ตำรวจเขาก็ใช้ข้อหา “อั้งยี่” มาจัดการได้
ก็พยายามเอาผิดกันอยู่ตรงนี้ แต่คดีบริษัท โอเอ นั้นกลับล้มเหลวแพ้คดีไปเลย
ถาม : ล้มเหลวอย่างไร
ตอบ : ข้อแรกเขาไม่ใช่บริษัททัวร์ที่รับซื้อนักท่องเที่ยวจีนมาจัดการรีดไถต่อ แต่เป็นบริษัทให้เช่ารถ และขายของที่ระลึกเท่านั้น บริษัททัวร์จะพาใครมา ได้มาอย่างไรเขาไม่เกี่ยว ไม่รู้เห็นด้วย แล้วไปจับเขาว่าอยู่ในขบวนการได้อย่างไร ตัวขบวนการมีใครบ้างทุกวันนี้คุณโจ๊กยังไม่รู้เลย หัวโจกรับซื้อกรุ๊ปทัวร์อยู่ที่ไหนเป็นใคร ทำกันเป็นขบวนการมานานหรือไม่อย่างไร ไม่มีในสำนวนเลย แล้วศาลท่านจะไปตัดสินให้เป็นผิดฐานอั้งยี่ไปได้อย่างไร ในเมื่อตัวขบวนการอั้งยี่ก็ยังชี้ให้ศาลเห็นไม่ได้
ถาม : หลังคดีบริษัท โอเอ แล้ว ตำรวจก็ยกพวกลุยจัดการอีกหลายบริษัท แล้วยังใช้ฐานความผิดอั้งยี่อีกหรือ
ตอบ : ก็ต้องตั้งข้อหาอั้งยี่เผื่อไว้ก่อน จากนั้นก็เพิ่มความผิดจิปาถะเข้าไปอีก เช่น จับรถท่องเที่ยวป้ายแดง ติดฉลากสินค้าของที่ระลึกไม่ถูกต้อง เขากวางอ่อนผิดกฎหมายอนุรักษ์ เป็นต้น
ถาม : นี่ไม่ใช่เรื่องทัวร์ศูนย์เหรียญเลย
ตอบ : มันกลายเป็นแค่การรบกวนรังควานธุรกิจในนามทัวร์ศูนย์เหรียญไปแล้ว ถ้าจะเอาจริงๆ ต้องสืบสวนให้เห็นตัวขบวนการเสียก่อน ต้องสืบให้รู้เริ่มจากเมืองจีนแล้วมาเมืองไทยเลยว่า มีกี่ซุ้ม ซู้มไหนบ้าง แล้วค่อยจับกุมสอยสมาชิกเป็นรายๆ ไปในฐานะเป็นอั้งยี่ทัวร์ศูนย์เหรียญ
ถ้าไม่มีฐานคดีให้เห็นเป็นขบวนการอย่างนี้ ตำรวจจะไปจับใครในธุรกิจท่องเที่ยว แล้วกล่าวหาเขาเท่าใด ศาลท่านก็ต้องยกฟ้องหมดอยู่ดี
คำสั่ง คสช.
ถาม : อาทิตย์ที่แล้ว เห็นบิ๊กโจ๊กให้สัมภาษณ์ว่า ได้รับโทรศัพท์จากนักท่องเที่ยวจีนว่าถูกขูดรีดบังคับให้ซื้อของแพงของด้อยคุณภาพ ก็เลยยกกำลังกว่าครึ่งร้อยไปค้นจับ 7 บริษัท ออกข่าวเป็นการใหญ่ พอไปค้นจับจริงกลับจับได้แต่สินค้าติดฉลากไม่ถูกต้องไม่กี่รายการ
กฎหมายเปิดให้เขาทำอย่างนี้ได้อย่างไรครับ อย่างนี้ถ้าผมเป็นตำรวจ ผมไถได้สบายมาก แค่เล่าว่าได้รับโทรศัพท์ก็ลุยตรวจค้น เดินสำรวจพื้นที่ของบริษัท มองหาข้อมูลมาตั้งข้อหาเป็นความผิดจิปาถะต่างๆได้มากมาย
กฎหมายไทยเรา เปิดให้ตำรวจเดินช๊อปปิ้งหาความผิดในห้างเขาได้ตามอำเภอใจอย่างนี้หรือ
ตอบ : คสช.เขาออกคำสั่งที่ 13/2669 เปิดไว้ให้ทำได้อย่างนี้ ถ้ามี “เหตุสมควร” ถ้ามีเหตุแล้วก็ลุยได้เลยโดยไม่ต้องมีหมายค้น ส่วนฐานความผิดที่เปิดให้เดินสอยได้นั้น ก็เปิดไว้กว้างมาก
ดังนั้นทุกร้านในธุรกิจท่องเที่ยวทั่วราชอาณาจักร มูลค่ารวมหลายแสนล้านบาท ทั้งทัวร์ รถบัส ร้านอาหาร ร้านหรือห้างขายของที่ระลึกทุกวันนี้ จึงอาจโดนบิ๊กโจ๊กยิ้มหวานเจี๊ยบ แล้วอ้าง “เหตุอันควร” สนธิกำลังลุยค้น จับโน่นจับนี่จนชิบหายได้เสมอ
ช่องทางพิเศษอย่างนี้น่ากลัวมาก เป็นช่องทางที่คนไม่ดีเอาไปหากินรีดไถกลั่นแกล้งใครต่อใครได้สบาย นี่ยังไม่พูดถึง ป.ป.ง.นะครับ อาจารย์สังศิตไปขวางเขาไม่ให้อายัดทรัพย์ ก็โดน คสช.สั่งเด้งจากกรรมการธุรกรรมไปเลย
หนทางที่ถูกต้อง
ถาม : ทำอย่างไรไม่ให้อำนาจรัฐมารังแกชาวบ้าน ได้ทั้งเงินทั้งกล่องกันถ้วนหน้าแบบนี้
ตอบ : ถ้าผมเป็น คสช. ต้องเรียกตำรวจมายืนยันก่อนว่าเรื่องนี้มันมีขบวนการเป็นอั้งยี่อยู่จริงหรือไม่ ถ้าไม่มีก็ต้องสั่งให้เลิกใช้อำนาจตรวจค้นเปะๆปะๆอย่างที่เป็นอยู่ในทุกวันนี้ไปเลย ถ้ามีอยู่จริงก็สั่งให้พุ่งเป้าไปที่บริษัทที่มีชื่อมีหลักฐานอยู่ในขบวนการนี้เท่านั้น ห้ามมั่วเด็ดขาด ส่วนมาตรการที่เหลือก็เป็นมาตรการทางปกครอง ที่น่าจะได้ผลดีกว่ามากทีเดียว
ถาม : มาตรการทางปกครองที่ว่านี้มันเป็นอย่างไรครับ
ตอบ :ทุกวันนี้เรามี พรบ.ธุรกิจนำเที่ยวและมัคคุเทศก์ ควบคุมธุรกิจท่องเที่ยวด้วยระบบใบอนุญาตอยู่แล้ว ในกฎหมายนี้มีบทบัญญัติห้ามรับลูกทัวร์โดยไม่มีเม็ดเงินมารองรับอยู่ชัดเจนมาก บริษัททัวร์ใดฝ่าฝืนก็ถอนใบอนุญาตได้ อำนาจอย่างนี้มีอยู่แล้วก็ไม่ใช้กัน มาใช้อำนาจอาญาอย่างเปะๆปะๆ ไล่รังควานชาวบ้านอยู่อย่างนี้ได้อย่างไร
ทำตรงบริษัททัวร์ตรงที่มีการขายลูกทัวร์เป็นทาสเท่านั้นทำอย่างนี้ถึงจะตรงจุด ส่วนธุรกรรมอื่นๆในธุรกิจท่องเที่ยวเช่นร้านค้า รถบัสฯนั้นไม่ต้องไปยุ่ง ส่วนเรื่องชาตินิยมนั้นไม่ต้องมาเกี่ยว เจ้าของบริษัทที่ซื้อขายทาสท่องเที่ยวจะเป็นไทยหรือจีนแอบแฝง ก็ต้องโดนหมด
ปัญหาทั้งหมดนี้อยู่ที่ต้นทางทางจีนด้วย เขาต้องรับผิดชอบจัดการด้วยระบบใบอนุญาตตามกฎหมายของเขาก่อน แล้วจึงมาขอความร่วมมือกับเรา
ถาม : ฟังดูก็เป็นข้อเสนอที่ดีนะครับ คสช.เขาจะรับฟังไหม
ตอบ : ใช้อำนาจสุ่มสี่สุ่มห้าจนชาวบ้านเดือดร้อนอย่างนี้มันไม่ถูก บ้านเมืองทุกวันนี้เริ่มมี “นักเกาะกิน”มาเกาะอำนาจมากขึ้นทุกวัน จนสติปัญญาที่ดีกับอำนาจที่เข้มแข็ง มันอยู่ด้วยกันได้ยากแล้ว
ลำพังแค่ร่างรัฐธรรมนูญ ก็เชื่อกันแล้วหรือว่า...ยุคท่านนายกฯเปรม จะกลับมาให้เห็นได้อีก?
หมายเหตุ : ภาพประกอบจาก คมชัดลึก