ครม.ไฟเขียว1ร้านค้า1ชุมชน-ธงฟ้า ลดค่าครองชีพ
ครม.อนุมัติโครงการโชห่วยช่วยชาติ -มหกรรมธงฟ้าลดค่าครองชีพแก้ปัญหาของแพง เริ่มกรุงเทพฯปริมณฑล2,000แห่งเดือนหน้า ก่อนขยายไปยังชุมชน8,000แห่งทั่วประเทศพฤษภาคมนี้
นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ (รมว.พาณิชย์) แถลงผลการประชุมคณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 20 มี.ค.55 อนุมัติค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการลดค่าครองชีพไทยช่วยไทยวงเงิน 1,620 ล้านบาท แยกเป็นโครงการโชห่วยช่วยชาติ ร้านถูกใจหรือโครงการ1 ร้านค้า 1 ชุมชนวงเงิน 1,320 ล้านบาท และโครงการมหกรรมธงฟ้าลดค่าครองชีพไทยช่วยไทยวงเงิน 300 ล้านบาท โดยโครงการโชห่วยช่วยชาติ เป็นโครงการสนับสนุน ร้านโชห่วยรวมทั้งร้านอาหารธงฟ้า โดยมีเป้าหมายจำนวน 10,000 แห่ง ทั่วประเทศ ซึ่งร้านดังกล่าวจะจำหน่ายสินค้าที่จำเป็น 20 รายการ ได้แก่ ข้าวสาร ไข่ไก่ น้ำมันพืช น้ำตาลทราย ผงชูรส น้ำปลา ปลากระป๋อง บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป นม UHT ซอสปรุงรส เนื้อสุกร เนื้อไก่ สบู่ ยาสีฟัน แชมพู ผงซักฟอก แป้งผงโรยตัว น้ำยาล้างจาน ผ้าอนามัย ยากำจัดยุงและแมลง โดยจะมีการหมุนเวียนเปลี่ยนแปลงชนิดของสินค้า ตามความจำเป็นและการเคลื่อนไหวของราคาสินค้าแต่ละชนิด และตามสภาวะเศรษฐกิจ ในราคาที่ต่ำกว่าท้องตลาด รวมทั้งจัดทำสินค้าภายใต้ Brand “ร้านถูกใจ”เพื่อจำหน่ายให้แก่ประชาชนในชุมชนในราคาถูก โดยมีแผนการดำเนินการแบ่งเป็น 2 ระยะ ระยะที่ 1 จะเริ่มในช่วงเดือนเมษายน 2555 ในเขต กทม. ปริมณฑลและจังหวัดใหญ่ 15 จังหวัดในเขตอำเภอเมือง รวม 2,000 แห่ง และระยะที่ 2 เริ่มในเดือนพฤษภาคม 2555 ในทุกจังหวัดอีก 8,000 แห่ง
“ โครงการนี้จะช่วยให้ประชาชนประมาณ 10 ล้านคน สามารถซื้อสินค้าในราคาต่ำกว่าท้องตลาดประมาณร้อยละ 20 หรือในภาพรวมคาดว่าจะสามารถลดภาระค่าใช้จ่ายได้ประมาณ 36,000 ล้านบาท เพิ่มความสามารถในการจับจ่ายใช้สอย ซึ่งจะก่อให้เกิดการหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ ช่วยชะลอการปรับขึ้นราคาสินค้าอื่นๆในท้องตลาด และจะส่งผลให้รายได้สุทธิของประชาชนเพิ่มสูงขึ้น”
รมว.พาณิชย์ กล่าวอีกว่า นอกจากนี้โครงการมหกรรมธงฟ้า ลดค่าครองชีพไทยช่วยไทย เป็นโครงการจัดงานธงฟ้าเพื่อช่วยลดค่าครองชีพประชาชนที่กำลังได้รับผลการกระทบจากปัญหาทางเศรษฐกิจที่เกี่ยวข้องกับค่าครองชีพโดยตรง โดยเฉพาะกลุ่มผู้มีรายได้น้อย โดยจะมีการจัดงานจำหน่ายสินค้าที่จำเป็นต่อการครองชีพในราคาประหยัดทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาคในทุกระดับได้แก่ การจัดงานระดับประเทศ 3 ครั้ง ระดับภาค ๆ ละ 2 – 4 ครั้ง รวม 12 ครั้ง ระดับจังหวัดทุกจังหวัดรวม 76 ครั้ง และระดับอำเภอทุกอำเภอรวม 878 ครั้ง ซึ่ง การดำเนินการดังกล่าวคาดว่าจะสามารถลดภาระค่าครองชีพให้ประชาชนประมาณ 5 ล้านคน คิดเป็นมูลค่า ประมาณ 1,000 – 1,200 ล้านบาท และเพิ่มเงินหมุนเวียนในการจับจ่ายใช้สอยประมาณ 2,000 – 2,500 ล้านบาท นอกจากนี้ยังเป็นการเพิ่มช่องทางในการจำหน่ายสินค้าของผู้ผลิต ทั้งที่เป็นผู้ประกอบการSME และเกษตรกร ซึ่งคาดว่าจะทำให้ผู้ผลิตมีรายได้เพิ่มขึ้น ประมาณ 400 – 500 ล้านบาท และเป็นการสร้างรายได้ต่อเนื่องไปสู่ภาคเศรษฐกิจอื่น ๆ เพิ่มการจ้างงาน ส่งผลให้เศรษฐกิจโดยรวมของประเทศขยายตัวเพิ่มขึ้นตามไปด้วย
วิธีการกำกับดูแล ทั้งสองโครงการได้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการ แบ่งเป็น 3 ระดับ ได้แก่ (1) คณะกรรมการประชาชนแก้ไขปัญหาค่าครองชีพประชาชนพิจารณากำหนดกรอบนโยบายและหลักเกณฑ์ เพื่อนำไปสู่การปฏิบัติ โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์เป็นประธาน (2) คณะอนุกรรมการแก้ไขปัญหาค่าครองชีพประชาชนเพื่อดำเนินการตามโครงการฯ ในส่วนกลาง มีอธิบดีกรมการค้าภายในเป็นประธาน และ (3) คณะอนุกรรมการแก้ไขปัญหาค่าครองชีพประชาชนระดับจังหวัดเพื่อดำเนินการตามโครงการในแต่ละจังหวัดซึ่งมีผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นประธาน
ที่มาภาพ:http://www.manager.co.th/Politics/ViewNews.aspx?NewsID=9550000022331