เจาะชีวิต "อดีตลูกจ้าง อบต." อีกหนึ่งเหยื่อคุกคามทางเพศ
"ยาเสพติดที่เขานำมาใช้กับเรามีทั้งไอซ์ โคเคน กัญชา และสารปลุกอารมณ์...เขาขู่ตลอด ถ้าที่บ้านรู้เรื่อง พ่อแม่มึงต้องตาย เราเองก็ถูกข่มขู่ด้วยการเอากระบอกปืนมาจ่อขมับ แล้วคิดหรือว่าเขาจะไม่ทำกับพ่อแม่เรา"
นี่คือคำบอกเล่าจากปากของหญิงสาวมุสลิมที่เคยทำงานเป็นลูกจ้างใน อบต.แห่งหนึ่งของ จ.นราธิวาส เธอซึ่งเราขอใช้นามสมมติว่า "นาเดีย" ตกเป็นเหยื่อการถูกล่วงละเมิดทางเพศโดยใช้ยาเสพติดเข้าล่อ โดยผู้กระทำคือ "เจ้านาย" ของเธอเอง
ปัญหาการคุกคามทางเพศในที่ทำงาน ถือว่าหนักหน่วงรุนแรง และทุกฝ่ายต้องเร่งแก้ไขปัญหา เพราะเป็นการใช้อำนาจที่เหนือกว่าของ "ฝ่ายชาย" เนื่องจากตนเองเป็นหัวหน้างาน มีอำนาจให้คุณให้โทษ และบางรายยังมีอิทธิพล เช่น เป็นนักการเมืองระดับท้องถิ่น หรือระดับชาติ ทำให้ "ฝ่ายหญิง" ไม่มีทางเลือก ซ้ำร้ายยังมีการใช้ยาเสพติดเข้ามาเกี่ยวข้อง ปัญหาลักษณะนี้จึงไม่ต่างอะไรกับกรณีเด็กหญิงอายุ 14 ปีที่ จ.พังงา และบางมีบางส่วนคล้ายคลึงกับกรณีล่วงละเมิดทางเพศในที่ทำงานอีกหลายกรณีที่เคยตกเป็นข่าวฉาว
เหตุการณ์เลวร้ายของ "นาเดีย" เกิดขึ้นเมื่อปี 2551 อดีตผู้บังคับบัญชาของเธอซึ่งทำงานที่เดียวกันในอบต. ล่วงละเมิดทางเพศเธอเป็นเวลานานกว่า 2 ปี โดยเริ่มต้นจากการลวนลามในที่ทำงาน เลยเถิดไปถึงขั้นถูกบังคับให้ใช้ยาเสพติดหลากหลายประเภท และสุดท้ายถูกขืนใจ โดยฝ่ายผู้กระทำใช้ความเหนือกว่าทั้งในแง่ความเป็นผู้ชาย และเป็น "เจ้านาย" ข่มขู่บังคับเธอ
"เหตุการณ์เริ่มต้นที่การถูกคุกคามทางเพศในที่ทำงาน จนไปถึงการใช้สารเสพติดที่เรียกว่า 'ไฟว์' รวมถึง ไอซ์, โคเคน, กัญชา จนไปเป็นการใช้ชีวิตคู่ด้วยความไม่เต็มใจ อาจจะเรียกได้ว่าเราถูกข่มขืนหลังการใช้ยาเสพติดก็ได้ บางครั้งหากเราไม่ยินยอมมีอะไรกับเขา เขาก็จะใช้ความรุนแรงทางด้านร่างกาย วาจา หรือแม้แต่การกระทำอนาจาร โดยช่วงหลังจะใช้ความรุนแรงมากขึ้น เนื่องจากเราไม่ได้สมยอมเขา มีทั้งทุบตีตามร่างกาย รวมถึงใช้บุหรี่จี้ หรือแม้แต่เอาปืนมาข่มขู่ เอาปืนมาจี้ที่หัว"
เมื่อถูกล่วงละเมิดทางเพศแล้ว ปัญหาของเธอไม่ต่างจากผู้หญิงคนอื่นๆ ที่ต้องเผชิญชะตากรรมเดียวกัน คือไม่รู้จะปรึกษาใคร ซึ่งนอกจากเหตุผลเรื่องความอับอายแล้ว ยังเป็นเพราะถูกผู้บังคับบัญชาข่มขู่ทุกวิถีทาง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องงาน หรือแม้แต่การข่มขู่เอาชีวิตพ่อแม่ของเธอ
"เราเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาเขา เราทำอะไรเขาไม่ได้ หากเราไปไม่ไหนมาไหนกับเขา ก็จะถูกข่มขู่เรื่องของหน้าที่การงาน แต่หากเราเอาความลับเรื่องนี้ไปปรึกษาหรือบอกกับใคร เขาก็จะพูดข่มขู่ไปถึงครอบครัวของเราด้วย"
เมื่อบาดแผลทั้งทางกายและใจของเธอร้ายแรงถึงขีดสุด จนเธอทนไม่ไหวอีกต่อไป เธอจึงตัดสินใจว่าต้องทำอะไรบางอย่างเพื่อหลุดพ้นจากวงจรอุบาทว์นี้ และครอบครัวเป็นทางออกเดียวที่เธอคิดได้ในขณะนั้น เธอจึงเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดให้ครอบครัวฟัง ซึ่งครอบครัวก็พร้อมเผชิญปัญหาไปด้วยกัน
"ความบอบช้ำทางจิตใจและร่างกายที่แทบจะทนไม่ไหว เราสงสารตัวเอง สงสารครอบครัว จึงตัดสินใจบอกเรื่องราวทุกอย่าง ครอบครัวจึงพาตัวเรามารักษาที่โรงพยาบาล แต่กว่าจะผ่านมาได้เรียกได้ว่าเกือบจะทำให้เราเป็นบ้าไปเลย"
หลังจากเรื่องราวร้ายๆ ผ่านพ้นไป เธอได้รับความช่วยเหลือจากองค์กรภาคประชาสังคมที่ทำงานด้านผู้หญิงและเด็กในพื้นที่ ทำให้วันนี้นาเดียมีชีวิตใหม่ และใช้บทเรียนในอดีตมาทำงานช่วยเหลือ "เหยื่อ" รายอื่นๆ ต่อไป
ปัญหาความรุนแรงทางเพศที่กระทำต่อผู้หญิงในฐานะเพศที่อ่อนแอกว่า เป็นประเด็นที่ทุกสังคมให้ความสนใจ แต่วิธีแก้ในประเทศไทยดูจะยังเป็นแบบ "ไฟไหม้ฟาง" เพราะรากเหง้าของปัญหายังไม่ถูกแก้ ทั้งค่านิยม การกดทับทางวัฒนธรรมที่ผู้ชายมีอำนาจเหนือกว่าผู้หญิง และสิ่งสำคัญคือกฎหมายไม่ได้เป็นที่พึ่งที่ดีพอของเหยื่อ
ทั้งหมดนั้นทำให้การล่วงละเมิดทางเพศในทุกมิติของสังคมไทยยังคงร้ายแรง และไม่เห็นวี่แววว่าจะบรรเทาเบาบางลง
--------------------------------------------------------------------------------------------
เรื่อง/ภาพ : อนุรักษ์ เพ็ญสวัสดิ์