หวั่นเกิดปัญหาซ้ำซาก!สภาคณาจารย์มรภ.เชียงใหม่จี้บิ๊กตู่แก้คำสั่งตั้งคนเกษียณเป็นอธิการฯ
สภาคณาจารย์ฯ มรภ.เชียงใหม่ ส่งหนังสือ ‘บิ๊กตู่’ ทบทวน-แก้ไขคำสั่ง คสช. ที่ 37/2560 เผยไม่มั่นใจจะแก้ปัญหาธรรมาภิบาลในมหา’ลัยรัฐได้ ระบุชัดแค่เฉพาะหน้า หวั่นเกิดซ้ำซาก ล่าสุดศาลปกครองพิพากษาให้ผู้ที่เกษียณอายุราชการไปแล้ว ไม่สามารถดำรงตำแหน่งอธิการบดีได้
สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 8 ส.ค. 2560 ที่ผ่านมา ราชกิจจานุเบกษาได้เผยแพร่คำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่ 37/2560 เรื่องการแก้ไขปัญหาการบริหารงานของสถาบันอุดมศึกษา กรณีปัญหาการบริหารงานของสถานศึกษารัฐ ระดับอุดมศึกษา ที่มักมีปัญหาการได้มาซึ่งผู้บริหาร ซึ่งทำให้การบริหารงานของสถานศึกษาต้องหยุดชะงัก ถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าไม่สามารถขับเคลื่อนได้อย่างเป็นระบบ ขาดความต่อเนื่อง และเกิดความล่าช้าในการบริหารงานที่สำคัญๆ ส่งผลให้การดำเนินการเพื่อปฏิรูปการศึกษาไม่อาจบรรลุผลสำเร็จได้
ล่าสุด สำนักข่าวอิศรา www.isranews.org รายงานว่า เมื่อวันที่ 29 ส.ค. 2560 ที่ผ่านมา สภาคณาจารย์มหาวิทยาลัยราชภัฏ (มรภ.) เชียงใหม่ นำโดยผศ.ดร.ศักราช ฟ้าขาว ประธานสภาคณาจารย์และข้าราชการมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ ได้ยื่นหนังสือถึง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. อ้างแถลงการณ์สภาคณาจารย์ฯ มรภ.เชียงใหม่ เรื่อง ข้อเสนอแนะและแนวทางการแก้ปัญหาธรรมาภิบาลในสถานศึกษาที่อาจเกิดขึ้นกับคำสั่งดังกล่าว
ระบุสาระสำคัญว่า จากคำสั่งคสช.ดังกล่าว สภาคณาจารย์ฯ มรภ.เชียงใหม่ พิจารณาแล้วไม่มั่นใจว่าจะแก้ไขปัญหาธรรมาภิบาลในมหาวิทยาลัยได้ เนื่องจากเป็นการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า และแก้ปัญหาให้กับผู้บริหารในปัจจุบันเท่านั้น โดยเฉพาะให้ผู้ที่เกษียณอายุราชการเป็นอธิการบดีต่อไปได้ จึงขอให้ ฯพณฯ นายกรัฐมนตรี โปรดพิจารณาทบทวน หรือแก้ไขปรับปรุงคำสั่งดังกล่าว
"อันที่จริงแล้ว ควรจะแก้ปัญหากับสิ่งที่เป็นปัญหาอยู่ คือการไม่ยึดหลักกฎหมายของผู้บริหารแต่ละมหาวิทยาลัยที่เป็นหน่วยราชการ ทั้งที่มีลักษณะการบริหารจัดการสาธารณะองค์กรประเภทให้บริการ เช่นเดียวกับสถานศึกษา วิทยาลัยต่างๆ รวมถึงความเป็นนิติบุคคล และจังหวัดที่จำเป็นจะต้องส่งเสริมให้คนอายุไม่เกิน 60 ปี ที่มีคุณสมบัติ มีความรู้ ความสามารถขึ้นมาเป็นอธิการบดี" แถลงการณ์สภาคณาจารย์ฯ มรภ.เชียงใหม่ ระบุ
สภาคณาจารย์ฯ มรภ.เชียงใหม่ ยังเชื่อว่า จะมีปัญหาต่างๆ ตามมาอีกมากมาย และระบุในแถลงการณ์ว่า กรณีผู้มีอายุเกิน 60 ปี ดำรงตำแหน่งอธิการบดี ขณะนี้มีหลายเรื่องที่ศาลปกครองกำลังอยู่ระหว่างพิจารณาวินิจฉัย ซึ่งอาจจะเป็นการทำลายกระบวนการยุติธรรม รวมทั้งอาจกระทบต่อการพิจารณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งอธิการบดีที่กำลังดำเนินการอยู่ ซึ่งอาจกระทบต่อการบริหารราชการอื่นๆ ในอนาคตอันใกล้
ขณะที่ล่าสุด ศาลปกครองมีคำพิพากษาให้ผู้ที่เกษียณอายุราชการไปแล้ว ซึ่งหมายถึงผู้ที่อายุเกิน 60 ปี ไม่สามารถดำรงตำแหน่งอธิการบดีสถาบันอุดมศึกษาของรัฐได้ ซึ่งเป็นผลมาจากผู้ช่วยศาสตราจารย์ ปัญญา เจริญพจน์ ได้ยื่นฟ้องต่อศาลปกครองนครราชสีมา ให้เพิกถอนมติการประชุมสภามหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ ที่มีมติให้ รองศาสตราจารย์ มาลิณี จุโฑปะมา เป็นอธิการบดีต่อเป็นสมัยที่สอง เพราะ รองศาสตราจารย์ มาลิณี มีอายุเกิน 60 ปี ถือเป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย คือขัดต่อพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษาฯ ที่กำหนดให้ผู้ดำรงตำแหน่งอธิการบดี ต้องเป็นข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษาเท่านั้น (อ่านประกอบ : http://www.nationtv.tv/main/content/social/378566333/)
สำนักข่าวอิศรารายงานว่า สำหรับคําสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 37/2560 เรื่อง การแก้ไขปัญหาการบริหารงานของสถาบันอุดมศึกษา
ระบุสาระสำคัญดังนี้
ข้อ 2 เพื่อประโยชน์ในการบริหารงานของสถาบันอุดมศึกษาให้มีความต่อเนื่องและเกิดประสิทธิภาพ ให้สถาบันอุดมศึกษามีอํานาจแต่งตั้งบุคคลใดที่มิได้เป็นข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษาหรือเป็นพนักงานในสถาบันอุดมศึกษามาดํารงตําแหน่งอธิการบดี รองอธิการบดี ผู้ช่วยอธิการบดี คณบดีหรือหัวหน้าหน่วยงานที่เรียกชื่ออย่างอื่นที่มีฐานะเทียบเท่าคณะได้ สําหรับคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามอื่นให้เป็นไปตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษาและกฎหมายจัดตั้งสถาบันอุดมศึกษานั้น ๆ
ความในวรรคหนึ่ง ให้นํามาใช้บังคับกับผู้ซึ่งดํารงตําแหน่งอธิการบดี รองอธิการบดี ผู้ช่วยอธิการบดี คณบดีหรือหัวหน้าหน่วยงานที่เรียกชื่ออย่างอื่นที่มีฐานะเทียบเท่าคณะ อยู่ในวันก่อน วันที่คําสั่งนี้ใช้บังคับ และผู้ซึ่งอยู่ในระหว่างกระบวนการสรรหาผู้ดํารงตําแหน่งดังกล่าวในวันที่คําสั่งนี้ใช้บังคับด้วย
ข้อ 3 มิให้นําบทบัญญัติที่เกี่ยวกับระยะเวลาในการรักษาราชการแทนผู้ดํารงตําแหน่งอธิการบดีที่บัญญัติอยู่ในกฎหมายจัดตั้งสถาบันอุดมศึกษา มาใช้บังคับกับการรักษาราชการแทนในระหว่างการดําเนินการสรรหาหรือดําเนินการเพื่อแต่งตั้งผู้ดํารงตําแหน่งดังกล่าว
ข้อ 4 ในการดําเนินการเพื่อให้มีสภาคณาจารย์ตามกฎหมายจัดตั้งสถาบันอุดมศึกษาให้คณาจารย์และบุคลากรอื่นของสถาบันอุดมศึกษานั้นซึ่งมิได้เป็นคณาจารย์แต่เป็นข้าราชการหรือพนักงานของสถาบันอุดมศึกษานั้นมีสิทธิเลือกและดํารงตําแหน่งในสภาคณาจารย์ได้เช่นเดียวกัน
ทั้งนี้ ตามที่กําหนดไว้ในข้อบังคีบของสถาบันอุดมศึกษานั้น ๆความในวรรคหนึ่ง มิให้มีผลกระทบต่อผู้ดํารงตําแหน่งในสภาคณาจารย์ของสถาบันอุดมศึกษาที่มีอยู่ในวันก่อนวันที่คําสั่งนี้ใช้บังคับ หรืออยู่ระหว่างการดําเนินการเพื่อให้ได้มาซึ่งผู้ดํารงตําแหน่งในสภาคณาจารย์ของสถาบันอุดมศึกษาในวันที่คําสั่งนี้ใช้บังคับ
ข้อ 5 ในกรณีเห็นสมควรนายกรัฐมนตรีหรือคณะรัฐมนตรีอาจเสนอให้คณะรักษาความสงบแห่งชาติแก้ไขเปลี่ยนแปลงคําสั่งนี้ได้
ข้อ 6 คําสั่งนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
สั่ง ณ วันที่ 8 สิงหาคม พุทธศักราช 2560
(อ่านประกอบ : ‘บิ๊กตู่’งัด ม.44 เปิดช่องให้คนที่ไม่ใช่ ขรก. -พนง.มหาวิทยาลัยนั่งอธิการบดีได้)