พิเคราะห์การต่างประเทศไทยให้ราชสถาบันภูฏานฟัง
ผมเพิ่งกลับจาก ภูฏาน ดินแดนในฝันต้นตำรับพัฒนาเพื่อความสุข ประเทศเล็กๆ เขียวขจี อยู่บนเทือกเขาหิมาลัย กระหนาบอยู่โดยอินเดียและจีน ผู้คนน้อยมาก มีเพียงเจ็ดแสนคน
เมื่อวันที่ 25 ส.ค. 2560 ที่ผ่านมานี้ เราสองคน คือ ผม กับ ท่านสมปอง สงวนบรรพ์ อดีตเอกอัครราชทูต ในฐานะคณบดีสถาบันการทูต ฯ ของ ม รังสิตได้รับเกียรติจากราชสถาบันแห่งรัฐกิจและการยุทธศาสตร์ หรือ The Royal Institute of Governance and Strategic Studies ไปร่วมกันพูดเรื่อง "การต่างประเทศของไทย" ให้บรรดานักการทูตภูฏานในระดับกลางและสูงหลายสิบคนฟัง
โอกาสเช่นนี้ทำให้ได้ครุ่นคิด และเพ่งพิศการต่างประเทศของสยามและไทยในรอบกว่าร้อยปีอีกครั้งหนึ่ง หลังการบรรยายและตอบข้อซักถาม ผมอดคิดไม่ได้ว่า อันที่จริงแล้ว การทูตของเรานั้นโดดเด่น และเป็นประโยชน์สำหรับประเทศโลกตะวันออก ขนาดเล็กและกลาง ที่จะนำไปศึกษา ไปถอดรับเอาบทเรียนทีเดียว
การต่างประเทศของสยาม-ไทยนั้น ถือว่าน่าอัศจรรย์ เมื่อเทียบกับนานาประเทศตะวันออก พระมหากษัตริย์และอมาตย์ของไทยนั้น มีปัญญา และความสามารถ รู้เท่าทันตะวันตก มีความอดกลั้นและอดทนเป็นที่สุด มีลีลา ชั้นเชิง ไหวพริบที่ดีเยี่ยม จะจัดว่าเป็น "กษัตริย์และอมาตย์" ที่ดีที่สุดของโลกซีกตะวันออกก็ว่าได้ ดูสิ ครับจักรพรรดิและมหาอมาตย์ของอินเดีย มารดาแห่งอารยธรรมไทยนั้น ไม่ผ่านการทดสอบ แตกแยกกันและตัดสินใจผิดพลาด จนสูญสิ้นไปจากน้ำมือของอังกฤษนักล่าเมืองขึ้น ใกล้เข้ามา ศัตรูใหญ่ผู้พิชิตอยุธยาได้ถึงสองครา คือกษัตริย์และอมาตย์แห่งพม่านั้น ก็ต้องเสียเมืองแก่อังกฤษไปเช่นกัน ดูเถิด จักรพรรดิองค์สุดท้ายของอินเดียนั้นถูกเนรเทศไปอยู่พม่า ส่วนกษัตริย์องค์สุดท้ายของพม่าถูกจับส่งไปอยู่อินเดีย ขณะที่จักรพรรดิและอมาตย์เวียดนาม ที่รบกับรัตนโกสินทร์ไม่แพ้ไม่ชนะกัน ก็ต้องสูญพันธ์ไปจากน้ำมือฝรั่งเศส และ สุดท้าย บรรดารายาและสุลต่านของมลายูก็ตกอยู่ใต้การปกครองของอังกฤษไป มองไกลออกไปอีกนิดครับจักรพรรดิและขุนนางจีน ที่ยิ่งใหญ่ จนเราต้องคอยส่งบรรณาการให้ ก็กลับเอาตัวไม่รอด ถูกบั่นทอนและเอาลงจากอำนาจได้โดยพวก "สาธารณรัฐนิยม"
สรุปได้ไหมครับว่า จักรพรรดิ กษัตริย์ ขุนนาง อมาตย์ ในประวัติศาสตร์ของประเทศตะวันออกเกือบทั้งหมด คือ ผู้พ่ายแพ้ต่อตะวันตก ผู้สูญสลาย ผู้ผิดพลาดในการนำรัฐนาวาไปให้ถึงฝั่ง ในยามที่คลื่นแรงพายุร้ายจากตะวันตกถาโถมใส่ ทว่า สำหรับสยามแล้ว พระมหากษัตริย์และขุนนางหัวสมัยใหม่-หัวปฏิรูปทั้งหลาย กลับยืนอยู่ในฐานะผู้ชนะ ชนะได้ด้วยการทูต มิใช่ด้วยสงคราม รักษาประเทศให้อยู่รอด ทั้งยังสมัครสมาน รวมชาติพันธ์อันหลากหลายแตกต่างกันให้เข้าเป็นปึกแผ่นอันเดียวกันได้
เราชี้ให้เพื่อนชาวภูฏานเห็นว่า สิ่งที่เป็นสัญชาตญาณในการต่างประเทศของไทยคือ "หลีกเลี่ยงสงคราม" ให้ถึงที่สุด เราประเมินกำลังตนเองได้และจะไม่ยอมรบกับใครที่ไม่มีวันชนะ เราไม่เคยมีสงครามมาร่วมสองร้อยปีแล้ว นี่คือ "สันติภาพ" หรือ "สันติสุข" อันยิ่งใหญ่ ในยุคอาณานิคมนั้น เราทำการทูตอย่างประนีประนอม อย่างบรรเจิดบรรจง ที่จะไม่รบกับอังกฤษ กระทั่งยอมยกดินแดนเราหลายส่วนในประเทศพม่า จีน และมาเลเซียในปัจจุบันให้เขาไป เช่นเดียวกัน เราก็ระมัดระวังสุดขีด ตั้งใจไม่ยอมรบกับฝรั่งเศส แม้เมื่อชาตินี้ก้าวร้าว ส่งเรือปืนมาจ่อประชิดกรุงเทพฯ เราจำต้องยอมเสียดินแดนในลาว เขมร ไปจนสิ้น มองในแง่ลบ เหมือนเราจะขี้ขลาด ยอมจำนน แต่คิดให้ดีเถิดเราจะรบไปทำไม แน่ใจได้ว่า ถ้ารบก็จะสูญชาติ เสียชีวิตมากมาย และเสียซึ่งเอกราช
สิ่งหนี่งที่คนไทยในปัจจุบันจำต้องตระหนักคือ เมื่อฝรั่งยึดครองเอเชีย อาฟริกา และละตินอเมริกานั้น ได้ผนวกดินแดนเหล่านั้นเข้าอยู่กับเมืองแม่ไปแล้ว ไม่คิดสักนิดเดียวว่าในวันหนึ่ง จะคืนเอกราช คืนดินแดนที่ให้คนพื้นเมือง จึงในปลายสมัยรัชกาลที่ห้านั้น ด้านตะวันตกและด้านใต้ของเรา มิใช่พม่าและมลายูแล้ว หากแต่เป็นจักรวรรดิอังกฤษ ส่วนด้านตะวันออกเฉียงเหนือ และ ด้านตะวันออก ก็มิใช่ลาวและเขมร และถัดออกไปนิดหน่อยก็ไม่ใช่ญวน หากแต่ทั้งหมดคือจักรวรรดิ์ฝรั่งเศส ไม่มีใครในโลกคิด ณ จุดนั้น ว่า ต่อมาจะมีเจ้าอาณานิคมจะทำสงครามใหญ่กันในยุโรปถึงสองครั้ง จนอ่อนล้า ยับเยิน ไม่อาจทัดทานขบวนการเพื่อเอกราชทั้งหลายท่ีเกิดขึ้นหลังสงครามโลกครั้งที่สอง
จนมาถึงสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่หนึ่งแล้ว โลกตะวันออกทั้งปวงก็ยังเป็นดินแดนเมืองขึ้นฝรั่งนั่นแหละ ยังไม่มีเค้าแววว่าจะมีที่ไหนได้เอกราชคืน ส่วนสยามเรานั้นเป็นเอกราชอยู่ได้ และ ก็ยังเข้าเป็นสมาชิกก่อต้ัง "สันนิบาตชาติ" กับเขาได้เสียด้วย แม้ว่าในที่สุด เมืองขึ้นทั้งหลายจะได้เอกราชคืน แต่ ณ เวลานั้น เราคงไม่ยอมเป็นเมืองขึ้นฝรั่งด้วยความเชื่อลมๆแล้งๆว่าสักวันหนึ่งฝรั่งจะคืนเอกราชให้เรา ตรงข้าม ณ เวลานั้น ฝรั่งยึดดินแดนเหล่านั้นไว้อย่างเด็ดขาด โดยสมบูรณ์ เป็นการถาวรแล้ว
เมื่อญี่ปุ่นบุกเข้าไทยตอนสงครามโลกครั้งที่สองนั้น เราไม่รบแต่ก็ไม่ยอมแพ้ แต่กลับ "ยอมให้ญี่ปุ่นผ่านทางอย่างสันติ" และในเวลาอันรวดเร็วก็ร่วมรบอยู่ข้างญี่ปุ่น บางท่านอาจตำหนิว่าเราฉวยโอกาส แต่คิดย้อนหลังการที่เราตัดสินใจไม่รบกับญี่ปุ่นนั้น ต้องถือว่าถูกต้อง เพราะอย่างไรก็ต้องแพ้แน่ จะรบไปทำไมเพื่อแพ้ และจะยอมสูญเสียชีวิตทหารและผู้คนเรือนพันเรือนหมื่นไปทำไม สู้เป็นไม่กี่ประเทศในเอเชียที่ไม่มีความทรงจำขมขื่นกับญี่ปุ่นเลยไม่ดีกว่าหรือ การตัดสินใจเข้าสู่สงครามสู้กับอังกฤษและอเมริกานั้น อาจพอจะถือว่าพลาด แต่ในที่สุดชนชั้นนำเราก็แตกเป็นสองสาย และสายญี่ปุ่นยอมลงจากอำนาจเมื่อใกล้สงครามจะยุติ และสายอังกฤษอเมริกาสามารถยึดกุมรัฐบาลได้ทันทีหลังสงคราม และก็แทบจะทันที ก็พารัฐนาวาไทยเข้าสู่ค่าย "เสรี" ของอเมริกา มหาอำนาจใหม่ที่ใหญ่ที่สุด และ อาศัยอเมริกานี่เองมาช่วยต้านอังกฤษกับฝรั่งเศสไว้ไม่ให้ "ลงโทษ" หรือ "เอาคืน" กับไทยมากนัก
การทูตของเรา มีทั้งหลักการ เช่นยุคฝรั่งล่าเมืองขึ้น เราสันติที่สุด จะไม่รบกับฝรั่ง โดยไม่ชนะ ท่านทูตสมปองย้ำในการบรรยายว่า "เราสู้ไม่ใช่เพื่อแพ้ เพื่อตาย เพื่อเสียเอกราช" เราต้องอยู่ต่อไป ให้รอด จึงต้องเข้มแข็ง แต่ขณะเดียวกันก็ยอมฝรั่งได้เสมอ เพื่ออยู่ต่อไปให้รอด ต้องเป็นกลางเคร่งครัด ไม่ยอมเอียง ไม่ยอมเข้าข้างใคร ระหว่างอังกฤษกับฝรั่งเศส แต่ขณะเดียวกันก็มีความพลิกพลิ้ว เหมือนจะยอมเสียหลักการ แต่ความอยู่รอดของชาตินั่นก็คือหลักการเช่นกัน อาจใหญ่กว่าหลักการปลีกย่อยอื่น เมื่อถึงเวลาต้องเปลี่ยน ก็กล้าเปลี่ยน เช่น ก่อนหน้าที่ญี่ปุ่นจะบุก เราประกาศถ้าใครบุก เราจะสู้จนคนสุดท้าย แต่ครั้นรู้ว่าฝรั่งไม่ช่วย ปล่อยเรารบเอง กับญี่ปุ่น ซึ่งเราไม่มีทางชนะ เราก็พลิก ไม่ยอมรบ ยอมต้าน ปล่อยให้ญี่ปุ่นผ่านทาง อย่างสันติ
ในยุค "สงครามเย็น" ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จนถึงปี 2518 แม้ว่าจะเข้าข้างอเมริกา แต่เราก็รู้จักความพอเหมาะพอสม ยับยั้งชั่งใจ ไม่กระโจนเข้าสู่สงครามอย่างเต็มตัว หากรักษาบทบาทเป็นเพียงกองหลัง เป็นเพียงแต่ฐานทัพอากาศให้กับอเมริกา และพลันที่ฝ่ายซ้ายชนะในเขมรลาวและเวียดนาม เราก็รับรองรัฐบาลใหม่ที่เคยเป็นปรปักษ์เก่ากับเราในทันที และพร้อมๆกับเร่งคืนความสัมพันธ์การทูตกับจีน อีกศัตรูหนึ่งแห่งอดีต เราต้องพลิกหน้ามือเป็นหลังมือ แต่ก็เพื่อความอยู่รอด ไม่มี"ศัตรูถาวร" ในหลักการทูตของเรา ก็ในเมื่ออเมริกากำลังทิ้งไทยและเอเชียอาคเนย์ไปเสียแล้วในความเป็นจริง เราจึงไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากรีบพลิกกลับมาเป็นมิตรกับลาว เขมร เวียดนาม และจีน
ยิ่งกว่านั้น เมื่อเวียดนาม หลังรบชนะอเมริกา บุกยึดกัมพูชาของเขมรแดง ในปลายปี 2521 ต่อต้นปี 2522 เราก็ต้องพลิกตัวร้อยแปดสิบองศาหันไปเอาจีน "ศัตรูเก่า" มาเป็น "มหามิตรใหม่" ร่วมกันต้านเวียดนาม และร่วมกับอาเซียน "เพื่อนเก่า" ด้วย รวมเป็นสามแรงแข็งขัน ทัดทานเวียดนามเอาไว้ให้หยุดอยู่แค่ชายแดนไทย-เขมร จำได้ไหมครับ จึงในช่วงนี้เองที่เราได้เห็นภาพผู้นำสูงสุดของคอมมิวนิสต์จีน คือ ท่านเติ้งเสี่ยวผิง ปรากฏตัวอยู่ในวัดพระศรีศาสดาราม วันที่สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชทรงผนวช
หลังจากเวียดนามยอมถอนทหารออกจากกัมพูชา หลัง ปี 2532 เราก็กลับมาอบอุ่นเป็นมิตรกับเวียดนามที่เราเคยต้าน เป็นมิตรกับลาวที่ใกล้ชิดมากกับเวียดนามในการยึดกัมพูชา และเราก็ญาติดีกับเขมรฝ่ายฮุนเซ็นที่เราเคยหนุนเขมรแดงล้มมาแล้ว ในที่สุดเราก็ร่วมกับอาเซียนอื่นๆ รับเอาลาว เขมร เวียดนาม เข้ามาอยู่ร่วมกันในอาเซียน ยืนยันว่าหลักการทูตแบบไทยนั้น เราไม่มี "ศัตรูถาวร" จริงๆ ทุก "ศัตรู" กลับมาเป็น "มิตร" ได้เสมอ ได้เร็วด้วย ไม่มี "แค้นฝังหุ่น"
จากประเทศที่เคยมีข้าง มีค่าย มีฝ่าย ด้วยความจำเป็น เพื่อ "ความอยู่รอด" ของเรา แต่ ณ เวลานี้ ท่านทูตสมปองสรุป เรา "ไม่มีศัตรู" ใดๆ แล้ว เราเป็นมิตรกับจีน นับวันจะมากขึ้น สำคัญขึ้น แต่ ท่านย้ำ "เราจะไม่ทิ้ง จะไม่ยอมห่างกับอเมริกา ยุโรป และญี่ปุ่นอย่างแน่นอน" ยังจะเป็นมิตรใกล้ชิดกับออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ ต่อไป เราจะต้องใกล้ชิดเหนียวแน่นและยึดมั่นต่อไปในอาเซียนต่อไป เป็นมิตรกับรัสเซียให้ดี เวลานี้ ผมคิดอาจมีเพียงกลุ่มประเทศมุสลิมเท่านั้นที่เราต้องใกล้ชิดขึ้น เป็นมิตรให้มากขึ้น ไปมาหาสู่มากขึ้น เป็นพิเศษ
เราทั้งสองเชื่อว่าการทูตแบบไทยพอจะยกได้ว่าเป็น"สำนัก" หนึ่ง ที่ "มีผลงาน" หรือมี "ความสำเร็จ" รักษาตัวรอดจากยุคอาณานิคม รอดต่อมาถึงยุค "สงครามเย็น" ปลอดภัยมาถึงยุค "หลังสงครามเย็น" ผ่านยุค "สงครามเวียดนามในกัมพูชา "ยุค" โลกาภิวัตน์" และเชื่อว่าในยุค "บูรพาภิวัตน์" นี้ก็จะรักษาสมดุลย์ระหว่างมหาอำนาจเก่าและมหาอำนาจใหม่ได้ ถือได้ว่าเป็นการทูตที่มี "วุฒิภาวะ" ท่านทูตสมปองกล่าวว่า "นักการทูตเรา พูดค่อนข้างน้อย ไม่โว" โฆษณาหรือประชาสัมพันธ์น้อย แต่ทำค่อนข้างมาก เป็นมิตร สุภาพถ่อมตน แต่ในส่วนลึกแล้ว พลิกแพลง กล้าสู้ กล้าเสี่ยง กล้าเปลี่ยน แต่ก็ระมัดระวังเสมอ