ศาลปค. เตรียมพิพากษา คดี ‘สหวิริยา’ รุกที่ป่าชายเลน ชี้ชะตา 29 ส.ค. 60
ชี้ชะตา บ.สหวิริยาฯ ศาลปกครองกลางเตรียมอ่านคำพิพากษา 29 ส.ค. เพิกถอนเอกสารสิทธิที่ดินเครืออุตสาหกรรมเหล็ก 52 แปลง ทับที่ป่าชายเลน อ.บางสะพาน จ.ประจวบฯ คาดชาวบ้านร่วมฟังกว่า 100 คน
ผู้สื่อข่าวสำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า วันที่ 29 ส.ค. 2560 ศาลปกครองกลางจะอ่านคำพิพากษาคดีเพิกถอนเอกสารสิทธิ์ที่ดินเครืออุตสาหกรรมเหล็กสหวิริยา จำนวน 52 แปลง ที่ทับพื้นที่ป่าชายเลนสาธารณะ ต.แม่รำพึง อ.บางสะพาน จ.ประจวบคีรีขันธ์ ณ ศาลปกครองกลาง ชั้น 3 ห้องพิจารณาคดี 14 ถ.แจ้งวัฒนะ เวลา 11 นาฬิกา
โดยคดีนี้สืบเนื่องจากเมื่อเดือนม.ค. 2553 อธิบดีกรมที่ดิน มีคำสั่งให้เพิกถอนและแก้ไขหนังสือรับรองการทำประโยชน์ที่ดิน (น.ส.3 ก.) จำนวน 52 แปลง รวมเนื้อที่ 798 ไร่ ในพื้นที่ ต.แม่รำพึง อ.บางสะพาน จ.ประจวบคีรีขันธ์ (พื้นที่เดียวกับที่มีข่าวแผนการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมโลจิสติกส์ครบวงจร เมื่อเดือนพฤษภาคม 2560) ที่มีชื่อบริษัท สหวิริยาสตีล อินดัสตรี จำกัด (มหาชน) เจ้าของกิจการอุตสาหกรรมเหล็กยักษ์ใหญ่ กับบริษัทในเครือเป็นผู้ครอบครอง
ภายหลังถูกตรวจสอบพบว่า เอกสารสิทธิ์ในที่ดิน 52 แปลงดังกล่าวออกโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ทับพื้นที่เขตป่าคุ้มครองและป่าสงวนแห่งชาติป่าคลองแม่รำพึง และมีการอ้างหลักฐานการครอบครองใช้ประโยชน์ที่ดินอันเป็นเท็จ
ต่อมาในเดือน พ.คง 2553 รองปลัดกระทรวงมหาดไทยได้มีมติยืนยันคำสั่งเพิกถอน น.ส.3 ก. ของอธิบดีกรมที่ดิน บริษัท สหวิริยาสตีล อินดัสตรี จำกัด (มหาชน) และบริษัทในเครือที่ถูกเพิกถอน น.ส.3 ก.
บริษัท สหวิริยาสตีล อินดัสตรี จำกัด (มหาชน)ฯ ที่ 1 กับพวกรวม 8 คน จึงร่วมกันยื่นฟ้องเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ สาขาบางสะพาน ที่ 1, อธิบดีกรมที่ดิน ที่ 2 และรองปลัดกระทรวงมหาดไทย หัวหน้ากลุ่มภารกิจด้านกิจการความมั่นคงภายใน ที่ 3 ต่อศาลปกครองกลาง ขอให้ศาลพิพากษาเพิกถอนคำสั่งของอธิบดีกรมที่ดินที่สั่งให้เพิกถอนและแก้ไข น.ส.3 ก. ที่ดินทั้ง 52 แปลง
โดยในการดำเนินคดีนี้ ตัวแทนชาวบ้าน ในตำบลกำเนิดนพคุณ ต.ธงชัย ต.แม่รำพึง และต.พงษ์ประศาสน์ อ.บางสะพาน จ.ประจวบคีรีขันธ์ จำนวน 33 คน ในนาม “เครือข่ายกลุ่มอนุรักษ์ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมบางสะพาน” และ “กลุ่มอนุรักษ์แม่รำพึง” ซึ่งเป็นประชาชนที่ได้พึ่งพาอาศัยใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติป่าชายเลนในพื้นที่พิพาท และได้รับผลกระทบจากการนำที่ดินสาธารณประโยชน์ทั้ง 52 แปลงไปออกเอกสารสิทธิ์ให้แก่เอกชน ได้ร่วมกันใช้สิทธิยื่นร้องสอดขอเข้าเป็นคู่ความฝ่ายที่สามในคดีเพื่อจะได้มีส่วนร่วมกับรัฐในการปกป้องสิทธิชุมชนและสิทธิจัดการและใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ตามที่รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 ได้รับรองและคุ้มครองไว้
ต่อมาศาลปกครองสูงสุดได้มีคำสั่งอนุญาตให้ตัวแทนชาวบ้านทั้ง 33 คนมีสิทธิเข้าเป็นคู่ความในฐานะผู้ร้องสอด โดยศาลได้วินิจฉัยวางบรรทัดฐานว่า ที่ดินพิพาทเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน ผู้ร้องสอดทั้ง 33 คน มีภูมิลำเนา ประกอบอาชีพ และอยู่อาศัย รวมถึงใช้ประโยชน์ในที่ดินดังกล่าว ย่อมมีสิทธิที่จะมีส่วนร่วมกับรัฐและชุมชนในการอนุรักษ์ บำรุงรักษา และได้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติ และความหลากหลายทางชีวภาพและในการคุ้มครองส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม เพื่อให้ดำรงชีพอยู่ได้อย่างปกติและต่อเนื่องในสิ่งแวดล้อมที่จะไม่ก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพอนามัย สวัสดิภาพ หรือคุณภาพของตน อันเป็นสิทธิที่ได้รับการรับรองและคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญฯ พ.ศ.2550 มาตรา 67 วรรคหนึ่ง ดังนั้นการออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์จำนวน 52 แปลงในบริเวณดังกล่าวจึงกระทบต่อสิทธิประโยชน์ของผู้ร้องสอดทั้ง 33 คนด้วย
นอกจากข้อมูลยืนยันความไม่ชอบด้วยกฎหมายในการออกเอกสารสิทธิ์จากฝ่ายหน่วยงานรัฐผู้ถูกฟ้องคดีแล้ว ผู้ร้องสอดทั้ง 33 คนยังได้ร่วมกันนำเสนอต่อศาลถึงผลกระทบอันเกิดขึ้นจากการออกเอกสารสิทธิ์ในที่สาธารณะทั้ง 52 แปลงให้แก่กลุ่มบริษัทสหวิริยา ว่าพื้นที่ดังกล่าวมีสภาพเป็นพื้นที่ป่าชายเลนและอยู่ในเขตป่าคุ้มครองและป่าสงวนแห่งชาติป่าคลองแม่รำพึง อันเป็นสาธารณะสมบัติดั้งเดิมของชุมชน มีความอุดมสมบูรณ์และหลากหลายทางชีวภาพ แต่ภายหลังที่กลุ่มบริษัทสหวิริยาได้เอกสารสิทธิ์มาโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ได้นำที่ดินดังกล่าวไปใช้เป็นพื้นที่ก่อสร้างถนนและท่าเรือน้ำลึกรองรับอุตสาหกรรมเหล็ก ส่งผลกระทบต่อประชาชนในพื้นที่
เนื่องจากการสร้างถนนขวางคลองแม่รำพึงทำให้ระบบนิเวศของป่าชายเลนเปลี่ยนแปลงไป และได้ปิดกั้นเส้นทางระบายน้ำของอำเภอบางสะพาน ทำให้เกิดปัญหาน้ำท่วมพื้นที่สวนและที่อยู่อาศัยของประชาชนได้รับความเสียหาย และการสร้างท่าเรือน้ำลึกทำให้กระแสการไหลของน้ำเปลี่ยนไป จำนวนสัตว์น้ำลดน้อยลง ส่งผลกระทบต่อผู้ที่ประกอบอาชีพประมง เลี้ยงปลาในกระชัง และการท่องเที่ยวในพื้นที่ด้วย
ทั้งนี้ คาดว่าจะมีชาวบ้าน อ.บางสะพานกว่า 100 คน เดินทางมาร่วมรับฟังผลคำพิพากษาด้วย .