ไม้ตายสุดท้ายอัยการ!เปลือยจีทูจีเก๊-ไม่สอบ 'เสี่ยเปี๋ยง'ชนวนเอาผิด‘ปู’ ไม่ยับยั้งทุจริต
“…ทำให้ข้อเท็จจริงในประเด็นนี้ฟังเป็นที่ยุติว่า การตรวจสอบจีทูจีที่อ้างว่า มีการปราบปรามการทุจริตอย่างจริงจัง มีเพียงแค่ที่เห็นเป็นละครปาหี่เท่านั้น น.ส.ยิ่งลักษณ์ กับพวก หามีความจริงใจในการตรวจสอบอย่างเข้มงวดใกล้ชิดไม่ อีกทั้งไม่มีการกระทำใด ๆ ของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ กับพวกให้ฟังขึ้นได้เลยว่า ได้ปฏิบัติหน้าที่ป้องกันและปราบปรามการทุจริตในการระบายข้าวแบบจีทูจีอย่างจริงจังให้สมกับเป็นนโยบายเร่งด่วนที่แถลง…”
สำนักข่าวอิศรา www.isranews.org รายงานแล้วว่า ปัญหาเกี่ยวกับโครงการรับจำนำข้าวตามคำแถลงปิดคดีของฝ่ายพนักงานอัยการ ได้บรรยายให้เห็นพฤติการณ์ของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ และคณะรัฐมนตรี ทราบถึงคำเตือนข้อท้วงติงจากหน่วยงานต่าง ๆ เกี่ยวกับความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นในโครงการรับจำนำข้าว และอาจเปิดช่องให้เกิดการทุจริตขึ้นได้ แต่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ และคณะรัฐมนตรี กลับไม่หยุดการดำเนินโครงการดังกล่าวแต่อย่างใด
ยังมีอีกประเด็นสำคัญที่ฝ่ายพนักงานอัยการ ชี้ให้เห็นว่าเป็น ‘จุดตาย’ ของคดีนี้ นั่นคือกรณีการปล่อยปละละเลยให้มีการระบายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ (จีทูจี) แต่ปรากฏข้อเท็จจริงต่อมาว่า ข้าวดังกล่าวไม่ได้ถูกส่งออกไปนอกประเทศ แต่กลับมีการหมุนเวียนขายกันภายในประเทศ เห็นได้จากหลักฐานเป็นแคชเชียร์เช็คจากเอกชนภายในประเทศ สั่งจ่ายกรมการค้าต่างประเทศจำนวนหลายหมื่นล้านบาท
แล้ว น.ส.ยิ่งลักษณ์ เกี่ยวข้องอย่างไร ?
สำนักข่าวอิศรา www.isranews.org สรุปคำแถลงปิดคดีของฝ่ายพนักงานอัยการเฉพาะประเด็นดังกล่าว ดังนี้
คำแถลงปิดคดีของฝ่ายพนักงานอัยการ บรรยายว่า การทุจริตในขั้นตอนการระบายข้าวซึ่งเป็นหัวใจสำคัญหรือคำตอบสุดท้ายในโครงการรับจำนำข้าวของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ว่า ได้ดำเนินโครงการไปเพื่อประโยชน์สุดท้ายของผู้ใด ปรากฏข้อเท็จจริงว่า โครงการรับจำนำข้าวได้กำหนดขั้นตอนระบายข้าวไว้ 5 วิธี หนึ่งในนั้นคือ การระบายข้าวแบบจีทูจี
โดยโครงการรับจำนำข้าวเริ่มต้นเมื่อวันที่ 7 ต.ค. 2554 แต่เมื่อวันที่ 6 ต.ค. 2554 มีการขายข้าวแบบจีทูจีไป 2 สัญญา รวมปริมาณ 4.195 ล้านตัน แบ่งเป็น 2 สัญญา สัญญาแรกเป็นการขายข้าวเก่าในสต็อกของรัฐบาลที่ผ่านมา (รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ) ที่ค้างอยู่ 2.195 ล้านตัน และสัญญาที่ 2 ขายข้าวใหม่ที่กำลังเข้ามาในโครงการปี 2554/55 จำนวน 2 ล้านตัน
จากการไต่สวนของคณะกรรมการ ป.ป.ช. พยานหลักฐานมีน้ำหนักมั่นคงรับฟังได้ว่า มีการทุจริตอย่างชัดแจ้ง โดยข้อเท็จจริงฟังเป็นที่ยุติปราศจากสงสัยว่า การซื้อขายข้าวแบบจีทูจี โดยมีนายบุญทรง เตริยาภิรมย์ รมว.พาณิชย์ (ขณะนั้น) กับพวก ที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ มีหน้าที่ต้องควบคุมกำกับดูแลการซื้อขายในฐานะที่เป็นประธานกรรมกรนโยบายข้าวแห่งชาติ (กขช.) และเป็นผู้ที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ สั่งการให้ไปตรวจสอบข้อเท็จจริงหลังมีการอภิปรายของพรรคประชาธิปัตย์นั้น มีการทุจริตจริง
โดยมีการตั้งข้อสังเกตว่า การขายข้าวแบบจีทูจีใน 2 สัญญาดังกล่าว หากไม่มีการตระเตรียมการวางแผนเป็นขั้นเป็นตอนแบ่งหน้าที่กันทำเพื่อทุจริตในช่องทางระบายข้าวมาแต่ต้น ย่อมไม่สามารถทำได้รวดเร็วขนาดนี้ แสดงว่าย่อมมีการเตรียมการทุจริตของผู้เกี่ยวข้องมาเป็นอย่างดี อีกทั้งโครงการรับจำนำข้าวของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ เริ่มดำเนินโครงการเมื่อวันที่ 7 ต.ค. 2554 แต่สัญญาได้เร่งชิงดำเนินการไปก่อนตั้งแต่วันที่ 6 ต.ค. 2554
เมื่อมีข้อท้วงติงว่า มีปัญหาเกิดขึ้น น.ส.ยิ่งลักษณ์ ไม่ได้สั่งการใด ๆ ให้มีการดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงเพื่อหาตัวผู้กระทำความผิดใน 2 สัญญานี้เลย โดยจากการไต่สวนตั้งแต่วันที่ 24 ส.ค. 2554-28 มี.ค. 2555 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่หลายหน่วยงานได้ตั้งข้อสังเกต หรือท้วงติง โครงการรับจำนำข้าว ไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ และคณะรัฐมนตรี ได้ร่วมกันนำคำเตือนเกี่ยวกับการทุจริตของบริษัท เพรสซิเดนท์ อะกริ เทรดดิ้ง จำกัด หรือบริษัท สยามอินดิก้า จำกัด ซึ่งเป็นของนายอภิชาติ จันทร์สกุลพร อดีตพ่อค้าข้าวชื่อดัง (จำเลยคดีระบายข้าวจีทูจี) กับพวก ไปป้องกันหรือระงับยับยั้งการทุจริตที่จะเกิดขึ้น หรือนำไปตรวจสอบข้อเท็จจริงให้แน่ชัดเป็นรูปธรรมแต่อย่างใด
หลังจากนั้นมีการอภิปรายในรัฐสภา โดยอดีต ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ตั้งกระทู้ถามถึงปัญหาต่าง ๆ ในโครงการรับจำนำข้าว ต่อมาสำนักงาน ป.ป.ช. มีหนังสือถึง น.ส.ยิ่งลักษณ์ อีกครั้ง เพื่อเสนอแนะป้องกันการทุจริตในโครงการรับจำนำข้าว โดยแจ้งไปแบบชัดเจนตรงประเด็น พบว่า การดำเนินโครงการได้ก่อให้เกิดปัญหาต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งปัญหาการทุจริตเชิงนโยบาย และชี้ให้เห็นว่า บริษัท สยามอินดิก้า จำกัด กับพวก ส่อไปในทางทุจริต
น.ส.ยิ่งลักษณ์ ย่อมเห็นได้แล้วว่า บริษัทดังกล่าวเป็นบริษัทเดียวกับบริษัท เพสซิเดนท์ อะกริ เทรดดิ้ง จำกัด ที่มีปัญหาทุจริตสมัยรัฐบาลนายทักษิณ ชินวัตร พี่ชายของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ เป็นนายกรัฐมนตรี และดำเนินโครงการรับจำนำข้าวในทำนองเดียวกันนี้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ จึงควรต้องเร่งดำเนินการตรวจสอบเพื่อให้เกิดความโปร่งใส ไม่มีข้อครหาว่า สมรู้ร่วมคิดสมยอมรู้เห็นเป็นใจให้ผู้อื่น หรือพวกพ้องกระทำการโดยมิชอบหรือโดยทุจริต แต่จากการไต่สวนไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ดำเนินการใดกับคนกลุ่มนี้
(ประเด็นนี้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ และพยานฝ่ายจำเลย เคยชี้แจงแก้ต่างในชั้นศาลฎีกาฯว่า เป็นเพราะบริษัท สยามอินดิก้า จำกัด คือเอกชน ทำให้ภาครัฐไม่สามารถเข้าไปตรวจสอบได้ และยืนยันว่า ไม่เคยรู้จักกับนายอภิชาติ หรือบริษัท สยามอินดิก้า จำกัด มาก่อน)
ต่อมา เลขาธิการคณะรัฐมนตรี (ขณะนั้น) และกระทรวงการคลัง ทำหนังสือเห็นชอบด้วยกับข้อเสนอแนะ และข้อตักเตือนของคณะกรรมการ ป.ป.ช. และเสนอต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรีด้วย อันเป็นการเน้นย้ำต่อ น.ส.ยิ่งลักษณ์ และคณะรัฐมนตรีให้ตระหนักถึงความสำคัญตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมการ ป.ป.ช. เนื่องจาก น.ส.ยิ่งลักษณ์ เป็นนายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าคณะรัฐมนตรี และในฐานะประธาน กขช. มีอำนาจหน้าที่โดยตรงในการติดตามกำกับดูแลการปฏิบัติตามนโยบาย มาตรการ และโครงการอนุมัติก็ยังละเว้น หรืองดเว้นไม่กระทำการปราบปรามและป้องกันการทุจริตของบริษัท สยามอินดิก้า จำกัด นายอภิชาติ จันทร์สกุลพร กับพวก ให้สมกับที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ได้แถลงนโยบายไว้ว่าจะป้องกันและปราบปรามการทุจริตอย่างเข้มงวดจริงจังตามที่แถลงไว้เป็นนโยบายเร่งด่วน
ต่อมาเมื่อวันที่ 3 ก.ค. และวันที่ 6 ก.ย. 2555 มีการทำสัญญาซื้อขายข้าวแบบจีทูจีอีก 2 สัญญา (รวมเป็น 4 สัญญา) ถ้านับตั้งแต่วันที่ 30 เม.ย. 2555 ที่เป็นวันที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. แจ้งให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ทราบอย่างชัดเจนตามสมควรแล้วว่า บริษัท สยามอินดิก้า จำกัด กับพวกมีพฤติการณ์ส่อไปในทางทุจริต นับจากวันนั้นถึงวันนี้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ไม่เคยสั่งการตรวจสอบเอาผิดกับบริษัท สยามอินดิก้า จำกัด นายอภิชาติ กับพวก ให้สมกับที่เคยแถลงนโยบายไว้ว่าจะป้องกันและปราบปรามการทุจริตอย่างจริงจังเลย
หลังจากนั้นเมื่อช่วงเดือน ก.ย. 2555 สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) มีหนังสือถึง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชี้ปัญหาและความเสี่ยงสำคัญต่าง ๆ ที่ส่งผลกระทบให้เกิดความเสียหายจากโครงการรับจำนำข้าว รวมถึงการทุจริต และความไม่โปร่งใสในกระบวนการและขั้นตอนต่าง ๆ ด้วย หลังจากนั้นเมื่อวันที่ 25-27 พ.ย. 2555 พรรคประชาธิปัตย์ เปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ น.ส.ยิ่งลักษณ์ เกี่ยวกับการปล่อยปละละเลยรู้เห็นเป็นใจให้มีการทุจริตในโครงการรับจำนำข้าว โดยเสนอพยานหลักฐานสำคัญต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับการทุจริตการระบายข้าวจีทูจีของบริษัท สยามอินดิก้า จำกัด นายอภิชาติ กับพวก โดยอภิปรายได้อ้างพยานหลักฐานชัดแจ้งมีน้ำหนักอันควรรับฟัง
ถ้านับตั้งแต่วันที่ 24 ส.ค. 2554-27 พ.ย. 2555 รวมระยะเวลากว่า 1 ปี 3 เดือน มีการทำสัญญาซื้อขายข้าวจีทูจีโดยทุจริตไปแล้วรวม 4 สัญญา วงเงินประมาณ 6-7 หมื่นล้านบาท ก่อให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงแก่ประเทศชาติและประชาชนโดยรวม แต่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ยังเพิกเฉยละเว้นไม่ดำเนินการตรวจสอบเอาผิดอย่างจริงจังกับบริษัท สยามอินดิก้า จำกัด นายอภิชาติ กับพวก
อย่างไรก็ดีในช่วงปี 2556 น.ส.ยิ่งลักษณ์ ปล่อยให้มีการทำสัญญาซื้อขายข้าวแบบจีทูจีในทำนองเร่งรีบอีก 4 สัญญา ปริมาณข้าวรวม 14 ล้านตัน มูลค่ากว่า 1.4 แสนล้านบาท รวมทั้งหมดตั้งแต่ต้นเป็น 8 สัญญา (ปัจจุบัน 4 สัญญาหลังดังกล่าวอยู่ระหว่างการไต่สวนในชั้นคณะอนุกรรมการไต่สวน ป.ป.ช.)
ถ้านับตั้งแต่วันที่ 7 ต.ค. 2554 (ช่วงเริ่มโครงการรับจำนำข้าว) ถึง 7 พ.ค. 2557 (ช่วงถูกศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้พ้นจากตำแหน่ง) เป็นเวลากว่า 2 ปี 7 เดือน ที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ดำรงตำแหน่งประธาน กขช. มีหน้าที่กำกับดูแลการปฏิบัติตามนโยบาย มาตรการ และโครงการที่อนุมัติ ที่ต้องควบคุมกำกับดูแลติดตามอย่างเข้มงวดใกล้ชิดให้สมกับเป็นโครงการใหญ่ ใช้เงินสูงมากอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์ชาติไทย น.ส.ยิ่งลักษณ์ ต้องพึงตระหนักถึงหน้าที่อันใหญ่หลวงที่ได้รับการไว้วางใจให้เป็นผู้นำประเทศ ที่จะนำพาประเทศไปในทิศทางที่ถูกต้อง ชอบธรรม อันจะนำความเจริญวัฒนามาสู่ชาติไทยต่อไป
แต่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ หาได้ตระหนักอย่างแท้จริง และพึงระมัดระวังอย่างที่ควรจะเป็นไม่ กลับบังอาจงดเว้นหรือเพิกเฉยละเว้นไม่ดำเนินการระงับยับยั้งการทุจริตหรือความเสียหายต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นอย่างมากมายมหาศาลหลายแสนล้านบาท รวมทั้งไม่ปฏิบัติหน้าที่อย่างเข้มงวดโดยติดตามตรวจสอบอย่างใกล้ชิดจริงจังเพื่อเอาผิดกับบริษัท สยามอินดิก้า จำกัด นายอภิชาติ แถมยังปล่อยให้มีการทำสัญญาแบบจีทูจี มีการเบิกจ่ายข้าวตามสัญญาต่อไปโดยไม่สั่งระงับยับยั้งและทำการตรวจสอบอย่างจริงจัง เป็นสิ่งที่ผิดวิสัย และผิดมาตรฐานของคนเป็นนายกรัฐมนตรี และประธาน กขช. นับว่ามีพิรุธน่าสงสัยยิ่งนัก
แม้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ อ้างว่า มีรายงานการตรวจสอบที่นายบุญทรงไปดำเนินการมาถึง 2 ครั้งก็ตาม แต่การตรวจสอบดังกล่าวเป็นคนละเรื่อง คนละประเด็นกับที่พรรคประชาธิปัตย์อภิปรายไม่ไว้วางใจ และตั้งกระทู้ถามอย่างหนักหน่วง คือ 1.ไม่มีข้าวส่งออก 2.ไม่ได้ทำสัญญากับ COFCO ที่เป็นตัวแทนผู้รับมอบอำนาจแต่เพียงผู้เดียวจากรัฐบาลจีนให้ซื้อขายข้าวได้ 3.การจ่ายเงินไม่ได้ผ่าน L/C แต่เป็นการจ่ายโดยแคชเชียร์เช็คจากธนาคารภายในประเทศโดยคนของนายอภิชาติ
แต่นายบุญทรง กลับตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงที่ไม่ได้เรียกบริษัท สยามอินดิก้า จำกัด มาสอบทั้งที่มีอำนาจเรียกมาสอบได้ตามกฏหมาย แต่ไม่ทำ พฤติการณ์แห่งการกระทำของคณะกรรมการชุดนายบุ?รงจึงเหมือนละครปาหี่หลอกหลวงประชาชน เป็นเพียงละครตบตาประชาชนฉากหนึ่งเพื่อปิดบังให้ไขว้เขวเท่านั้นเอง และไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่า หลักจากผลการตรวจสอบทั้ง 2 ครั้งดังกล่าว น.ส.ยิ่งลักษณ์ ได้สั่งการให้ตรวจสอบเอาผิดเสี่ยเปี๋ยงกับพวก และการทุจริตการซื้อขายข้าวจีทูจีอย่างเข้มข้นเพื่อความกระจ่ายชัดอีกแต่อย่างใด
ยิ่งไปกว่านั้นผลการส่งออกข้าวนอกราชอาณาจักรกับกรมศุลกากรช่วงปี 2554-2557 พบความจริงที่สอดรับกับข้อกล่าวหาว่า ในช่วงวันเวลาดังกล่าว การส่งออกข้าวแบบจีทูจีมีเพียงไม่กี่ตันเท่านั้น หากเทียบกับสัญญาซื้อขายข้าวแบบจีทูจีจำนวน 8 สัญญา ที่มีการระบุว่าขายข้าวไปประมาณ 20 ล้านตันแล้ว จึงเป็นตัวบ่งชี้ได้ชัดเจนที่สุดว่า การซื้อขายข้าวแบบจีทูจีดังกล่าว เป็นการซื้อขายโดยทุจริตจริงปราศจากข้อสงสัย เป็นจีทูจีเก๊หรือจีทูจีปลอมตามที่การโจษกันทั่วไป
เรื่องที่น่าตกใจยิ่งไปกว่านั้นคือ เมื่อตรวจสอบเอกสารการส่งออกข้าว กลับปรากฏว่า ในช่วงวันเวลาดังกล่าว มีข้าวส่งออกไปนอกราชอาณาจักรจริงจำนวนมูลค่าหลายแสนล้านบาท แต่กลับส่งออกในนามบริษัท สยามอินดิก้า จำกัด ที่เป็นบริษัทของนายอภิชาติ กับพวก โดยนายอภิชาติไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นคนที่เดินตามนายทักษิณ ชินวัตร พี่ชาย น.ส.ยิ่งลักษณ์ ที่โรงแรมเพนินซูล่า ที่ถูกกล่าวหาว่า เป็นพวกพ้องหรือคนใกล้ชิดของนายทักษิณนั่นเอง ที่ได้ประโยชน์ไปโดยทุจริตตามที่มีการเตือนท้วงติง และอภิปรายไม่ไว้วางใจ
ขณะเดียวกันพยานฝ่าย น.ส.ยิ่งลักษณ์ ที่นำมาเบิกความคือ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง อดีตรองนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะกรรมการตรวจสอบการทุจริตโครงการรับจำนำข้าว ที่เบิกความยืนยันหลายครั้งว่า ไม่ได้ตรวจสอบเกี่ยวกับประเด็นการะบายข้าวจีทูจี
ทำให้ข้อเท็จจริงในประเด็นนี้ฟังเป็นที่ยุติว่า การตรวจสอบจีทูจีที่อ้างว่า มีการปราบปรามการทุจริตอย่างจริงจัง มีเพียงแค่ที่เห็นเป็นละครปาหี่เท่านั้น น.ส.ยิ่งลักษณ์ กับพวก หามีความจริงใจในการตรวจสอบอย่างเข้มงวดใกล้ชิดไม่ อีกทั้งไม่มีการกระทำใด ๆ ของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ กับพวกให้ฟังขึ้นได้เลยว่า ได้ปฏิบัติหน้าที่ป้องกันและปราบปรามการทุจริตในการระบายข้าวแบบจีทูจีอย่างจริงจังให้สมกับเป็นนโยบายเร่งด่วนที่แถลง หรือได้ทำหน้าที่ติดตามกำกับดูแลการปฏิบัติตามนโยบายในการระบายข้าวแบบจีทูจีอย่างใกล้ชิดเพื่อป้องกันความเสียหายและทุจริตที่จะเกิดขึ้น ทั้งการทุจริตย่อมถือเป็นความเสียหายอย่างหนึ่งในตัวของมันเอง กรณีจึงเป็นการงดเว้นหน้าที่เพื่อป้องกันและเป็นการละเว้นหน้าที่ที่ต้องกระทำเพื่อป้องกันผลความเสียหายและทุจริตที่เกิดขึ้น
อย่างไรก็ดีกรณีนี้ศาลฎีกาฯนัดฟังคำพิพากษาในวันที่ 25 ส.ค. 2560 น.ส.ยิ่งลักษณ์ จึงถือว่าเป็นผู้บริสุทธิ์อยู่
อ่านประกอบ :
ยกบัญญัติUN!อัยการชี้ฟ้องคดี‘ปู’พ่วงทุจริตถูกแล้ว-บิ๊ก ป.ป.ช.บอกไร้โกงแค่เข้าใจไปเอง
คำแถลงอัยการปิดคดีข้าวยกคำท้วงติงสารพัดหน่วยงานชี้‘ปู’ไม่จริงจังป้องทุจริต-ชาติเสียหาย
ลำดับเหตุการณ์สอบจำนำข้าวฉบับอัยการ-ป.ป.ช. เร่งรัดส่งฟ้องตาม‘ปู’กล่าวหาจริงหรือ?
อัยการยันฟ้องถูกต้อง-ชี้ประเด็นเสียหายแล้ว หลัง‘ปู’งัดปมไร้หลักฐานทุจริตสู้คดีข้าว
คำแถลงอัยการปิดคดีข้าวยกคำท้วงติงสารพัดหน่วยงานชี้‘ปู’ไม่จริงจังป้องทุจริต-ชาติเสียหาย
เหมือนนำชาติเดิมพันความหายนะ!อัยการชี้ ‘ปู’รู้คำเตือนสารพัดหน่วยดี แต่ไม่หยุดจำนำข้าว
เจาะแฟ้มแถลงปิดคดีอัยการ!เบื้องหลังนำสำนวนจีทูจีเก๊รวมคดี‘ปู’-หัวใจสำคัญทำชาติเจ๊ง?
แม้วคิดปูทำ!อัยการชี้จำนำข้าวไร้งานวิจัยรองรับ แค่หาเสียงชาวนาเพื่อต้องการชนะเลือกตั้ง
คำแถลงอัยการปิดคดีข้าวยกคำท้วงติงสารพัดหน่วยงานชี้‘ปู’ไม่จริงจังป้องทุจริต-ชาติเสียหาย
ย้อนมหากาพย์จำนำข้าว(1):จากนโยบายช่วยชาวนาจนนายกฯถูกฟ้อง ทำขาดทุน-ชาติเสียหาย?
ย้อนมหากาพย์จำนำข้าว(2):อภิปรายจีทูจีฉาว-ป.ป.ช.ยกเหตุสอบเดี่ยว จุดตาย‘ยิ่งลักษณ์’?
ยกคำกล่าว'สัญญา ธรรมศักดิ์'แจงศาล! แถลงปิดคดีข้าว‘ปู’ฉบับเต็ม “ดิฉันไม่ได้ทำอะไรผิด"
ร่ำไห้กลางศาล!‘ปู’ครวญตกเป็นเหยื่อการเมือง-ขอตัดสินเป็นธรรมไม่ฟังคำชี้นำใคร
หมายเหตุ : ภาพประกอบ น.ส.ยิ่งลักษณ์ จาก pantip