ส.นักกำหนดอาหาร เผย80% คนไทยกินเกินจำเป็น เน้นรสชาติหน้าตามากกว่าคุณค่า
“สมาคมนักกำหนดอาหาร”เผย80% คนไทยกินอาหารเกินความจำเป็นต่อร่างกาย แนะวิธีดูแลป้องกันไม่ให้เกิดโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง ให้ปรับพฤติกรรมการกินให้ถูกหลักโภชนาการ คุมอาหาร อย่าปล่อยให้อ้วน ด้าน "สมาคมเวชศาสตร์ฉุกเฉินฯ" ระดมบุคลากรทางการแพทย์สู่การป้องกันไม่ให้เจ็บป่วยฉุกเฉิน
เมื่อเร็วๆ นี้ ที่โรงแรมเซ็นจูรี่พาร์ค สมาคมเวชศาสตร์ฉุกเฉินแห่งประเทศไทย ภายใต้โครงการป้องกันและส่งเสริมคนไทยไม่ให้เจ็บป่วยฉุกเฉิน สนับสนุนโดย สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ(สสส.) ได้จัดเวทีระดมทีมแพทย์ บุคลากร ผู้เชี่ยวชาญทางด้านงานเวชศาสตร์ฉุกเฉิน จากทั่วประเทศกว่า100คน จัดอบรมในแนวคิด “มีสุขภาพดี...คุมได้ แก้ไขได้ทัน...สรรค์ความช่วยเหลือ” ภายในงานได้มีการแบ่งกลุ่ม Workshop ฝึกปฏิบัติเพื่อสุขภาพที่ดีตามฐานต่างๆ
ศ.นพ.พินิจ กุลละวณิชย์ ผู้ช่วยเลขาธิการสภากาชาดไทย กล่าวถึงข้อมูลขององค์การอนามัยโลก ระบุว่า 70% ของประชากรโลกที่เสียชีวิตจากโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง เช่น มะเร็ง เบาหวาน ความดันโลหิตสูง ซึ่งสาเหตุของการเกิดโรคไม่ติดต่อเรื้อรังนี้ เกิดจากพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม ละเลยการออกกำลังกาย สำหรับประเทศไทยข้อมูลจากกระทรวงสาธารณสุขในปี 56 พบว่า สาเหตุการตายของคนไทย 3 อันดับแรกคือ มะเร็ง อุบัติเหตุ โรคหัวใจและหลอดเลือด ตามลำดับ
รศ.นพ.พินิจ กล่าวว่า สิ่งที่จะทำให้ประชาชนไม่เสียชีวิตด้วยโรคไม่ติดต่อเรื้อรังและเจ็บป่วยฉุกเฉินคือ การออกกำลังกาย ควบคุมน้ำหนัก รวมทั้งดัชนีมวลกายให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ บุหรี่ และสารเสพติด มีเพศสัมพันธ์ที่ปลอดภัย มีการป้องกันที่ถูกต้อง นอกจากจะลดการติดโรคที่มาจากเพศสัมพันธ์แล้วยังเป็นการป้องกันการตั้งครรภ์ในวัยรุ่นได้อีก รวมทั้งมีตรวจร่างกายตามวัย ตามเพศ ตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเหมาะสม
“สิ่งที่ยังน่าเป็นห่วงคือ คนไทยมีการกินอาหารที่มากเกินความจำเป็นต่อร่างกาย ทำให้เสี่ยงเกิดภาวะอ้วนมากขึ้น ดังนั้นผู้ที่อ้วน หรือภาวะน้ำหนักเกิน เสี่ยงที่จะเป็นโรคต่างๆได้ เช่น โรคมะเร็งเต้านม มะเร็งตับ หรือมะเร็งลำไส้ใหญ่มากกว่าคนที่มีน้ำหนักปกติ” รศ.นพ.พินิจ กล่าว
ด้านอาจารย์ศัลยา คงสมบูรณ์เวช ประธานฝ่ายวิชาการสมาคมนักกำหนดอาหารแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ที่ผ่านมาการกินอาหารของคนไทยส่วนมากมุ่งเน้นไปที่รสชาติและหน้าตาของอาหารมากกว่าจะคำนึงถึงคุณค่าสารอาหาร นอกจากนี้ยังมีการบริโภคอาหารและเครื่องดื่มที่มีน้ำตาล โซเดียม แป้ง ไขมัน แฝงเกินความต้องการของร่างกาย ทำให้แคลอรี่เกิน สำหรับตัวอย่างของหวานและเครื่องดื่มที่มีแคลอรี่เกินความจำเป็นที่เห็นกันอยู่เสมอ เช่น ชานมไข่มุก กาแฟเย็นรสต่างๆ เบเกอรี่ ขนมหวาน
“จากประสบการณ์ที่ดูแลผู้ป่วย พบว่า มีประชาชนเพียง20% โดยประมาณที่บริโภคอาหารถูกต้อง ส่วนที่เหลือ80%เป็นการบริโภคอาหารที่ไม่ถูกต้อง ทำให้ได้รับสารอาหารไม่สมดุลต่อร่างกาย เช่น บางคนไม่กินผักหรือผลไม้ บางคนกินแป้ง ไขมัน โซเดียมมากเกินควร ส่งผลให้ได้รับพลังงานมากเกินความต้องการ ทำให้เกิดปัญหาโรคอ้วน เมตาโบลิกซินโดรม และกลุ่มโรคเรื้อรังไม่ติดต่อ"
ส่วนวิธีการรับประทานอาหารที่ถูกสุขลักษณะและเป็นประโยชน์ต่อร่างกายอย่างง่ายๆในการป้องกันโรค คือ ลดความหวาน มัน เค็ม รับประทานผักที่หลากหลายสี ผลไม้ที่หลากหลายชนิดตามฤดูกาล วันละ2 ชนิดในปริมาณพอสมควร ข้าว แป้ง โปรตีนหรือเนื้อสัตว์ไม่ติดมัน อย่างละ1/4ของมื้ออาหารที่รับประทาน ผลิตภัณฑ์นมไขมันต่ำ วันละ1-2ครั้ง ก็จะได้รับสารอาหารครบทุกหมู่ และได้รับสารอาหารสมดุล
ศ.นพ.สันต์ หัตถีรัตน์ นายกสมาคมเวชศาสตร์ฉุกเฉินแห่งประเทศไทย กล่าวถึงการอบรมบุคลากรทางการแพทย์ครั้งที่ผ่านมา ถือว่าประสบความสำเร็จอย่างมาก เนื่องจากทุกคนให้ความสนใจร่วมระดมความคิดเห็นที่เป็นประโยชน์ เพื่อต่อยอดสู่ความชำนาญ และคาดหวังว่าเวทีครั้งที่2นี้ จะสามารถขยายแนวคิดถ่ายทอดเผยแพร่ให้ความรู้ และช่วยเป็นกระบอกเสียงขยายเครือข่ายตามพื้นที่ ชุมชน ท้องถิ่นต่างๆซึ่งทางสมาคมฯจะมีผู้ที่เชี่ยวชาญด้านต่างๆ มาร่วมถ่ายทอดความรู้ ฝึกคนให้เป็นครูเพื่อนำไปสู่การป้องกันไม่ให้คนไทยเจ็บป่วยฉุกเฉินได้ และยังสามารถดูแลความปลอดภัยในชีวิตของตนเองและคนใกล้ชิด ได้
นอกจากนี้ในเวทีจะมีการเปิดรับฟังความเห็นและคำแนะนำเพื่อการปรับปรุงสื่อต่างๆ ที่ทางโครงการได้จัดเตรียมให้บุคลากรทางการแพทย์สามารถนำไปใช้ในการส่งเสริมให้ประชาชนรู้จักป้องกันตนเองไม่ให้เจ็บป่วยฉุกเฉิน ซึ่งเป็นอีกหนทางหนึ่งของการดูแลตัวเอง โดยไม่ต้องพึ่งแพทย์ หรือ เข้าทำการรักษาในโรงพยาบาล” ศ.นพ.สันต์ กล่าว
“สำหรับแนวคิดของโครงการนี้ จะประกอบด้วย4กรอบหลัก คือ1.การทำให้ มีสุขภาพดี 2.หากมีโรคประจำตัว หรือเจ็บป่วย ฉุกเฉินใด ผู้ป่วยหรือญาติสามารถดูแลและ ควบคุมโรคประจำตัว หรือการเจ็บป่วยฉุกเฉิน 3.หากมีอาการเจ็บป่วยฉุกเฉินรุนแรง ผู้ป่วย หรือญาติ ควรทราบวิธี ช่องทางในการสอบถาม วิธีการแก้ไขเบื้องต้น หรือติดต่อขอรับบริการการแพทย์ฉุกเฉิน 1669 ได้อย่างถูกต้องและ เหมาะสม 4.การเตรียมบุคลากรทางการแพทย์ ให้พร้อมช่วยเหลือผู้ป่วยฉุกเฉินโดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มที่มีการเจ็บป่วยรุนแรงถึงขั้น เสียชีวิตได้อย่างเหมาะสมเมื่อพบผู้ประสบเหตุ”ศ.นพ.สันต์ กล่าว