‘สมชาย’ยัน กม.อาญานักการเมืองใหม่ พิจารณาคดีลับหลังไม่ขัดหลักสากล
โฆษก กมธ.ร่าง พ.ร.บ.ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองฯ สนช. ยัน พิจารณาคดีลับหลังทำได้ ไม่ขัดหลักสากล ชี้ฝรั่งเศสก็มี เพราะจำเลยหลบหนี แต่ไม่ได้ทำง่าย ๆ ต้องออกหมายจับก่อน ถ้าไม่มาใน 3 เดือนถึงเข้าข่าย แต่ไม่ตัดสิทธิจำเลยตั้งทนายสู้
เมื่อวันที่ 17 ก.ค. 2560 นายสมชาย แสวงการ สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ในฐานะโฆษกคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พ.ศ. …. กล่าวว่า พ.ร.บ.ฉบับนี้ บัญญัติขึ้นสอดคล้องกับเจตนารมณ์ที่ปรากฏในอารัมภบทของรัฐธรรมนูญปี 2560 ที่ต้องการให้มีกลไกป้องกันตรวจสอบ และขจัดทุจริต และประพฤติมิชอบที่เข้มงวด เด็ดขาด และยังเป็นบทบทบัญญัติที่เป็นส่วนหนึ่งของการปฏิรูปประเทศตามแนวทางที่รัฐธรรมนูญกำหนดว่า ต้องให้ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์ สุจริต และรับผิดชอบต่อประชาชน
นายสมชาย กล่าวว่า จุดเด่นหรือข้อดีของ พ.ร.บ.ฉบับนี้ เช่น 1.กำหนดวิธีพิจารณาคดีไว้เป็นการเฉพาะให้มีความเหมาะสมตามลักษณะและประเภทของคดี 2.มีการใช้ระบบไต่สวน เพื่อให้ศาลทำหน้าที่ค้นหาความจริงของคดี อันจะเป็นการให้ความเป็นธรรมแก่คู่ความทุกฝ่าย (รวมถึงจำเลย) ค้นหาและพิสูจน์ความจริงให้ปรากฏต่อสังคมและประชาชน 3.กำหนดกระบวนการขอรื้อฟื้นคดีขึ้นพิจารณาใหม่ ในกรณีที่มีการพิจารณาพิพากษาคดีโดยไม่มีตัวจำเลย
นายสมชาย กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ 4.กำหนดกระบวนการอุทธรณ์ เพื่อเป็นการประกันสิทธิให้แก่จำเลยในคดี ให้สามารถยื่นอุทธรณ์คำพิพากษาของศาลได้ทั้งข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย ซึ่งเป็นหลักการใหม่ที่ให้ความเป็นธรรมกับจำเลยมากกว่ากฎหมายเดิม เพราะไม่ได้ยึดโยงกับหลักที่ว่าต้องมีพยานหลักฐานใหม่ แต่ให้เป็นสิทธิของคู่ความที่จะอุทธรณ์คำพิพากษาขององค์คณะในชั้นต้นได้ ขณะเดียวกันได้กำหนดองค์คณะที่ทำหน้าที่วินิจฉัยอุทธรณ์ให้กระทำโดยผู้พิพากษาที่ดำรงตำแหน่งไม่ต่ำกว่าผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลฎีกาซึ่งไม่เคยพิจารณาคดีนั้นมาก่อน ทำให้คู่ความมีหลักประกันว่าองค์คณะที่พิจารณาอุทธรณ์เป็นคนละองค์คณะที่พิจารณาคดีในชั้นต้น เพียงแต่จำเลยจะยื่นอุทธรณ์ได้ต่อเมื่อแสดงตนต่อเจ้าพนักงานศาลในขณะยื่นอุทธรณ์เท่านั้น
นายสมชาย กล่าวด้วยว่า ส่วนประเด็นที่มีการให้ความสนใจ เช่น การพิจารณาคดีอาญาโดยไม่มีตัวจำเลย หรือที่เรียกกันว่าพิจารณาคดีลับหลังจำเลย ถูกมองว่าไม่สอดคล้องกับความเป็นสากล เห็นว่าคงไม่เป็นเช่นนั้น เนื่องจากกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง (ICCPR) แม้จะกำหนดว่า “ในคดีอาญา บุคคลย่อมมีสิทธิที่จะได้รับการพิจารณาคดีต่อหน้าตน” แต่หลักดังกล่าวก็มีข้อยกเว้น คือ ในกรณีที่จำเลยหลบหนี
“ถ้ากฎหมายให้สิทธิแก่จำเลยที่จะต่อสู้คดีด้วยตนเองหรือผู้ช่วยเหลือทางกฎหมายที่ตนเป็นผู้เลือก แต่จำเลยปฏิเสธที่จะใช้สิทธิดังกล่าวเอง เช่น ไม่ยอมมาศาล หรือหลบหนีคดีไปเอง การพิจารณาลับหลังจำเลยก็สามารถกระทำได้ ถ้าหากได้มีการแจ้งรายละเอียดเกี่ยวกับสภาพและความผิดที่ถูกกล่าวหา และกระบวนพิจารณาให้จำเลยทราบอย่างชัดเจนแล้ว มีการเปิดโอกาสให้จำเลยมีทนายความมาต่อสู้คดีแทน รวมถึงเปิดโอกาสให้จำเลยได้รื้อฟื้นคดีขึ้นพิจารณาใหม่ได้ หากจำเลยมีความประสงค์ ซึ่งหลักการดังกล่าวก็ได้มีบัญญัติไว้แล้วใน พ.ร.บ.ฉบับนี้ และจากการตรวจสอบข้อมูลแล้วพบว่าประเทศอื่น ๆ ก็มีการนำหลักการพิจารณาคดีลับหลังจำเลยมาใช้ด้วย เช่น ประเทศฝรั่งเศส” นายสมชาย กล่าว
นายสมชาย กล่าวว่า ส่วนมาตรา 24/1 โดยผลทางกฏหมายแล้ว เมื่อยื่นฟ้องคดีต่อศาลย่อมทำให้อายุความสะดุดหยุดลง หากผู้ถูกกล่าวหาหรือจำเลยที่หลบหนีไปในระหว่างถูกดำเนินคดี กฎหมายกำหนดมิให้นับระยะเวลาที่ผู้ถูกกล่าวหาหลบหนีหรือจำเลยหลบหนีเข้าเป็นส่วนหนึ่งของอายุความ ส่วนกรณีมีคำพิพากษาถึงที่สุดให้ลงโทษจำเลย ถ้าจำเลยหลบหนีไปในระหว่างต้องคำพิพากษาถึงที่สุดให้ลงโทษ กฎหมายมิให้นำเรื่องอายุความลงโทษตามมาตรา 98 แห่งประมวลกฎหมายอาญามาใช้บังคับ ดังนั้น หากผู้ถูกกล่าวหา หรือจำเลยแล้วแต่กรณี หลบหนีไประหว่างถูกดำเนินคดี หรือหลบหนีไปหลังศาลมีคำพิพากษา ไม่ว่าจะหลบหนีไปนานเท่าใด ก็ไม่เป็นเหตุให้ยกเว้นโทษจำคุกนั้นในอนาคต
ส่วนผลทางกฎหมายของมาตรา 25 มาตรา 26 และมาตรา 27 นายสมชาย กล่าวว่า มาตรา 25 เป็นการวางหลักว่าการฟ้องคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง โดยหลักต้องมีตัวผู้ถูกกล่าวหามาศาล ดังนั้น โดยหลักแล้วโจทก์ต้องนำตัวจำเลยมาฟ้องต่อศาล มาตรา 26 เป็นข้อยกเว้นของมาตรา 25 ในการฟ้องคดีโดยไม่มีตัวผู้ถูกกล่าวหามาศาล เพื่อไม่ให้คดีเกิดปัญหาติดขัด อย่างไรก็ตามการจะดำเนินการตามมาตรา 26 ได้ก็ต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขที่กฎหมายกำหนด ได้แก่ การที่ได้เคยมีการออกหมายจับไว้แล้ว มีพฤติการณ์ที่ว่าจำเลยประวิงคดี หรือไม่มาศาลโดยไม่มีเหตุอันควร หรือถ้าศาลรับฟ้องไว้โดยไม่มีตัวจำเลยแล้ว หากจะพิจารณาคดีลับหลังจำเลยยังต้องปฏิบัติตามมาตรา 27 กล่าวคือ ศาลจะต้องออกหมายเรียก ออกหมายจับ และเมื่อออกหมายจับแล้วไม่ได้ตัวจำเลยมาภายใน 3 เดือน ศาลจึงจะพิจารณาคดีลับหลังจำเลยได้ โดยทั้งหมดที่กล่าวมานี้ไม่ได้ตัดสิทธิที่จำเลยจะมาศาลเพื่อต่อสู้คดีก่อนมีคำพิพากษา หรือจะตั้งทนายความมาดำเนินการแทนตน
นายสมชาย กล่าวอีกว่า สำหรับประเด็นเรื่องบทเฉพาะกาล มาตรา 67 มีผลทางกฎหมายว่า คดีใดที่ยื่นฟ้องไว้ก่อนที่พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ใช้บังคับ หากคดีนั้นอยู่ระหว่างพิจารณาของศาล กระบวนการที่จะดำเนินการต่อไปก็ให้เป็นไปตาม พ.ร.บ.ฉบับนี้ ส่วนการดำเนินการใดที่ได้ทำไปก่อนแล้วย่อมไม่เสียไป ดังนั้นบรรดาคดีที่ศาลมีคำพิพากษาเสร็จเด็ดขาดไปแล้วย่อมจะไม่ได้รับผลจากพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ ส่วนคดีที่ยังอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลย่อมนำบทบัญญัติตาม พ.ร.บ.ฉบับนี้ไปใช้บังคับ
“ขอยืนยันว่า เป้าหมาย คือการให้ความเป็นธรรมกับทุกคน ทุกฝ่าย เพราะกฎหมายนี้บังคับใช้กับนักการเมืองทุกคน และเพื่อให้ข่าวตรงกัน ป้องกันการบิดเบือน” นายสมชาย กล่าว