ปักกิ่ง "นครแห่งอนาคต"
ผม "ไป" ปักกิ่งครั้งแรก นานมาแล้ว เมื่ออยู่ชั้นมัธยมต้นราวปี 2510 ไปด้วยการอ่านนะครับ อ่านหนังสืออย่างดูดด่ำ "ปักกิ่งนครแห่งความหลัง" ของ สด กูรมะโรหิต ยังจำภาพสดใสของหนุ่มสาวชาวจีน-รัสเซียขาว ที่มาพบกัน รักกัน และต่อมาฉากเศร้าก็มาถึง เมื่อจำต้องพรากจากกัน ทั้งรักทั้งโศกนี้ล้วนเกิดขึ้นในนครหลวงที่เก่าแก่ ซึ่งแม้จะดูสง่างามในบางพื้นที่ แต่ก็คร่ำคร่า ทรุดโทรม และล้าหลัง เป็นส่วนใหญ่ ปักกิ่งขณะนั้นมีแต่อดีต แต่หาอนาคตไม่ได้ รอคอยวันพินาศหรือวันที่จะถูกยึดครองจากต่างชาติ
นั่นคือสภาพของจีนหลังจากรัสเซียตกเป็นคอมมิวนิสต์ สด กูรมะโรหิต บรรยายถึง "หิมะ" ที่ขาวโพลนอยู่ทั่วหลังคาของวัด วัง และ กลบสีดำหรือเทาของกำแพงเมืองจนไม่เหลือ นั่นคือปักกิ่งก่อนที่ญี่ปุ่นจะบุกด้วยครับ
กว่าผมจะได้ไปปักกิ่งจริงๆ ก็ตกเข้าไปถึงปี 2535-2536 แล้ว และ จากนั้นมาจนถึงขณะนี้ ปี 2560 ในรอบ 24-25 ปีมานี้ ผมไปเยือน ไปเที่ยว ไปดูนครนี้มาไม่ต่ำกว่า 15 ครั้ง ไปแต่ละครั้งนครแห่งนี้ใหญ่ขึ้น ทันโลกขึ้น เขียวขึ้น และขึ้นเร็วมากเสียด้วย ปักกิ่งมหานครทุกวันนี้ ตรงข้ามกับที่ สด กูรมะโรหิต เคยให้ภาพไว้ มันไม่ใช่ "นครแห่งความหลัง" อีกแล้ว หากเป็นเมืองหลวงของจีนที่เป็นมหาอำนาจเบอร์สองของโลก ใหญ่กว่า ทันสมัยกว่านิวยอร์คและวอชิงตันของสหรัฐ ใหญ่กว่าทุกเมืองหลวงอื่นใดของโลก เป็น "นครแห่งอนาคต" มีถนนใหญ่โต มีพื้นที่สีเขียวมากมาย ตึกระฟ้ามหึมาสง่างาม พิพิธภัณฑ์โรงละคอน หอดนตรี และสนามกีฬามากมาย อยู่เคียงคู่กับจตุรัสเทียนอันเหมิน วัดวังกำแพงโบราณมหึมา ทั่วทุกบริเวณปักกิ่งแลล้วนสดใสใหม่เจริญรุ่งเรือง แทบทุกที่ดูสะอาด โอ่โถง สะดวก ปลอดภัย ประชาชนสามารถเคลื่อนที่ไปไหนได้จนทั่วนครอย่างง่ายดาย ปักกิ่งมหานครมีประชากรราว 30 ล้าน มากกว่าโตเกียวเสียอีก ที่ชอบใจอีกอย่าง ที่ใดที่เป็นสาธารณสถาน ที่นั่นมี"ไวไฟ" ให้ใช้ประชาชนใช้ฟรี ปักกิ่งใช่แต่จะ "ทันโลก" หากจริงๆ เวลานี้ "ล้ำโลก"ไปแล้ว
ผมไปปักกิ่งเที่ยวนี้ ได้คุยกับผู้คนผู้นำหลายวงการ ตระหนักถึงความรวดเร็วและความสามารถของจีนที่เข็นเอาดันเอา จน One Belt One Road ของเขากลายเป็นที่สนใจของโลกได้ ในขณะเดียวกันที่เมืองไทยเราก็มีกระแสติติงวิจารณ์รัฐบาลที่ยอมใช้ "ม 44 " เพื่อ "อ่อนข้อ" ให้บริษัทจีนได้สร้างรถไฟความเร็วสูงเชื่อมกรุงเทพฯ-โคราช ที่รัฐบาลจีน "กดดัน" มา เกิดเป็นความคิดว่าจีนไม่ใช่เป็นแค่ "เพื่อนบ้าน" หรือ "ญาติ" หากเป็น "มหาอำนาจ" ที่จะครอบงำ เอาประโยชน์จากไทยมากเกินไป หรือจะเอาแต่ "ฝ่ายเดียว"
เจ้าหน้าที่ระดับสูงของจีนอธิบายให้คณะเราฟังว่า ก่อนอื่นทางการจีนไม่ได้ "กดดัน" ไทยด้วยการไม่เชิญนายกรัฐมนตรีไทยไปงานซัมมิทผู้นำในกลุ่มประเทศ One Belt One Road ที่เพิ่งผ่านไปไม่กี่อาทิตย์มานี้ อันที่จริงแล้วจีนวางแผนประชุมและได้เริ่มเชิญผู้นำต่างประเทศมาซัมมิทนี้ตั้งหลายเดือนแล้ว ตั้งแต่ยังไม่มีปัญหาใดๆ กันในเรื่องรถไฟ แต่ในช่วงนั้น ก็บังเอิญเป็นช่วงที่ในหลวง ร 9 สวรรคตพอดี จีนจึงไม่รบกวนนายกฯประยุทธ์ ตระหนักว่าผู้นำไทยคงติดภาระงานพระบรมศพ แต่จีนก็ได้เรียนเชิญท่านเข้าร่วมประชุม BRICS ในโอกาสต่อไปแล้ว
เจ้าหน้าที่ชั้นสูง ชั้นกลาง ของจีนที่เราคุยด้วยค่อนข้างจะตกใจในความคิดความอ่านของสาธารณชนไทย ความสัมพันธ์ไทย-จีนนั้น จีนถือว่าดีเลิศมาตลอด จึงกังวลใจไม่น้อยที่เกิดกระแสไม่พอใจจีนในเรื่องรถไฟตามแผนการ One Belt One Road ผู้ใหญ่บางท่านถึงกับสื่อว่าถ้าไทยไม่ต้องการรถไฟ จีนก็ไม่มีปัญหา และยืนยันว่า One Belt One Road นั้น เป็นเรื่องของทุกชาติสมาชิก ไม่ใช่ของจีน จะสร้างจะทำอะไร ย่อมต้องให้เกิดประโยชน์และเหมาะสมกับทั้งสองฝ่าย หรือ ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง และจะเร็ว จะช้า แค่ไหนก็ตกลงกันได้ จีนนั้น "ไม่ใช่ยักษ์ไม่ใช่มาร" แน่ ขออย่าห่วงเลย และย้ำว่าไทยอยากชวนจีนทำอะไร หรือให้จีนช่วยอะไร อย่างไร ก็เจรจากันได้เสมอ ที่จับได้จากการสนทนา: จีนรับฟังเสียงบ่นเสียงวิจารณ์ ทั้งเป็นห่วงรัฐบาลไทยที่ถูกคนไทยจ้องจับตาอยู่ และที่สำคัญที่สุด ปริวิตกในอารมณ์ความรู้สึกทางลบของคนไทย
พวกเราพยายามชี้ว่าขอให้จีนเข้าใจคนไทยด้วย จีนนั้นใหญ่โต เข้มแข็ง และร่ำรวยแล้ว จะขยับเขยื้อนอะไรชาติเล็กกว่าก็ย่อมเกรงและวิตก เรื่องรถไฟสำหรับจีนนั้นย่อมเป็นเรื่องเล็กๆ เพราะจีนทำเรื่องใหญ่มาจนเป็นปกตินิสัย ในอดีตก็เคยทำกำแพงยาวถึงหกพันกิโลเมตร เคยขุดคลองเชื่อมเหนือใต้ยาวกว่าสองพันกิโลเมตร ปัจจุบันทำเขื่อนสามผาที่ใหญ่ที่สุดในโลกกั้นแม่น้ำแยงซีก็ทำได้ ทำรถไฟความเร็วสูงและรถไฟใต้ดิน นับด้วยความยาวรางรถไฟก็ยาวมาก ยาวกว่าของญี่ปุ่นและสหรัฐ ยาวกว่าของยุโรปทั้งทวีปรวมกันด้วยซ้ำ ส่วนไทยนั้น เราคุ้นกับการคิดแค่พอตัว ทำแค่พอตัว เวลาเห็นอะไรใหญ่ๆ ก็ไม่ง่ายที่จะคิด จะทำ ไม่ผลีผลาม จะคิดแล้วคิดอีก และในไทยนั้น ในบางครั้งทำอะไรไม่ง่าย เพราะแทบทุกเสียง ทุกความเห็น ก็ล้วนมีความหมาย
ท่านครับ ไทยคบกับจีนตั้งแต่เราเป็นประเทศเล็กที่พอมีพอกิน ส่วนจีนนั้นใหญ่แต่ยากจน สี่สิบปีผ่านไป แน่นอนเราขยับขึ้น กลายเป็นประเทศรายได้ปานกลาง ส่วนจีนนั้น ไม่ต้องพูดถึง พุ่งพรวดทะยานลิ่วขึ้นเป็นมหาอำนาจหมายเลขสองของโลกไปแล้ว จะรักจะชัง จะร่วมมือ หรือไม่ อย่างไร เขาคือมหาอำนาจที่อยู่ใกล้กับเรามากๆครับ อเมริกามหามิตรนั้นจะยิ่งใหญ่แค่ไหนก็ห่างเราครึ่งโลก เป็นประเทศหนึ่งในโลกที่อยู่ไกลเรามากที่สุด จีนยกย่องเรามาตลอด ทั้งถวายพระเกียรติยศชั้นสูงแด่สมเด็จพระเทพรัตน์ฯ ของเรา อนึ่งในงานพระบรมศพคืนแรกๆ ยังจำได้ไหม เอกอัครราชทูตจีนมายืนเคียงข้างคนไทยในยามวิปโยคโศกเศร้า แจกอาหารและเครื่องดื่มให้คนไทยที่ไปกราบพระบรมศพ
ทุกข์ยากคราใดจีนยืนอยู่กับเราตลอด ตั้งแต่คราววิกฤต "ต้มยำกุ้ง" จนถึง ภัยพิบัติ "สึนามิ" อย่าลืมนักท่องเที่ยวชาวจีนหลายล้านคนต่อปีที่ไหลเข้ามาหนุนไทยในยามที่เศรษฐกิจไทยมืดมนโตแค่ 0.8 เปอร์เซ็นต์ต่อปี บัดนี้เขามากันเป็นสิบล้านคนต่อปี หนุนช่วยให้เราโตจนเกินสามเปอร์เซนต์ต่อปีได้
ยิ่งกว่านั้น หลายปีมาแล้ว เมื่อครั้งผมไปเยือนกองทัพจีนร่วมกับผู้ใหญ่ของไทย ซึ่งรู้เห็นอะไรมาตั้งแต่จีนจะทำสงคราม "สั่งสอน" เวียดนาม ท่านเล่าอะไรบางอย่างให้คนไทยและจีนในงานต้อนรับได้ฟังอย่างจับใจ ความตอนหนึ่ง "ความสัมพันธ์ไทย-จีนนั้นในช่วงแรกนั้น เหมือนปลูกต้นไม้ที่รดน้ำครั้งแรกด้วยเลือดเนื้อชึวิตของทหารจีนนับหมื่นที่ทำสงครามกดดันเวียดนามทางตอนเหนือ เพื่อลดแรงกดดันชาตินั้นต่อไทยเราทางชายแดนที่ติดเขมร" ท่านผู้อ่านไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย ครับ และทุกวันนี้เวียดนามและเขมรก็กลับมาเป็นมิตรดีกับไทยแล้ว แต่ลองพินิจดูสักนิด ครับ โดยเฉพาะท่านที่อายุน้อยกว่าห้าสิบปี จะพิจารณาแต่ปัจจุบันโดยไม่รู้อดีตเลย ย่อมจะไม่พอเพียงครับ
สิ่งที่ไทยควรจะรีบทำ: อย่าทำแต่รถไฟความเร็วสูงเชื่อมจีนเท่านั้น หากต้องคิดหาโครงการดีๆ สักอย่างที่ "เข้าที" ที่สุด อันจะทำให้ไทยได้เป็นศูนย์กลางของสุวรรณภูมิ จากมุมมองของไทยเอง นะครับ เช่น ทำถนนหลวงและเส้นทางรถไฟความเร็วปานกลางเชื่อมทะวายของพม่าผ่านไทยเข้าพนมเปญต่อไป จนไปสุดที่โฮจิมินห์ กลายเป็นเส้นทางบกใหญ่เชื่อมร้อยสี่ประเทศ พร้อมกับที่เป็นแลนด์บริดจ์ขนาดยาวเหยียดเชื่อมสองมหาสมุทร รับรองว่าจะย่นเวลาการขนส่งข้ามสองมหาสมุทรสำคัญของโลกได้มากกว่าการขุดคลองกระเสียอีก จะเป็นโครงการมหึมาขนาดไหน ก็ยังได้ จะเกี่ยวกับโครงสร้างพื้นฐานด้วยก็ได้ เพื่อก้าวไปสู่เศรษฐกิจ 4.0 ก็ได้ หรือจะไปสู่ "หลั่นล้าอีโคโนมี"ด้วย ก็ได้ สุดแท้แต่จะคิด แต่จะต้องคิดจากความใฝ่ฝัน และจากความตั้งใจของเราเอง แล้วเสนอให้จีนมาช่วยเรา มาประสาน เชื่อมโยงเข้ากับ One Belt One Road ของจีน แต่มันจะเป็น "ของเรา" ครับ ไม่ใช่"ของจีน" แต่ก็เชื่อว่าจีนพร้อมจะหนุนช่วย จะร่วมมือ และ จะสนับสนุน
ผมกลับจากปักกิ่ง พร้อมกับความรู้สึกว่าอนาคตของโลกขึ้นกับจีนมากทีเดียวครับ เราต้องเร่งเรียนรู้จีน อย่าคิดว่าเข้าใจจีนแล้ว จีนทุกวันนี้นำโลกมากขึ้นทุกที ไม่เหมือนกับเมื่อสี่สิบปีที่แล้ว หรือกระทั่ง เมื่อ 5-10 ปีที่แล้ว ยิ่งคนจีนวัยหนุ่มสาว อายุ 30-40 ยิ่งต้องรีบรู้จักเขา เพราะอีก 10-20 ปี ข้างหน้า พวกเขาคือผู้นำจีน ซึ่ง ถึงตอนนั้นแล้ว จีนอาจเป็นหมายเลขหนึ่ง หรือ จีนกับอเมริกาอาจจะสูสีกันมากในเรื่องดุลย์อำนาจระดับโลก จะเป็นทางเศรษฐกิจ หรือ การเมือง หรือ การทหาร ก็ตาม
ปักกิ่ง ศูนย์กลางแห่งอำนาจรัฐของจีน ย่อมจะเป็น "นครแห่งอนาคต" ที่เราคนไทย นักธุรกิจไทย นายทหารไทย ผู้นำขั้นสูงของไทย ควรไปเยือน ไปเข้าใจ ไปให้สม่ำเสมอ
หมายเหตุ : ภาพประกอบจาก www.sntsky.com