แอมเนสตี้ชมไทยรองรับผู้ลี้ภัยกว่า10ปี วอนคุ้มครองทางกฎหมายเพิ่ม
แอมเนสตี้แถลง "วันผู้ลี้ภัยโลก" ชมไทยดูแลผู้ลี้ภัยตลอดสิบปี แต่ยังพบละเมิดสิทธิอย่างร้ายแรง โดยเฉพาะการส่งฝ่ายตรงข้ามทางการเมืองของรัฐบาลตุรกีกลับเมื่อเดือนพฤษภา เรียกร้องคุ้มครองทางกฎหมายมากขึ้น
เมื่อวันที่ 20 มิ.ย.60 แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลแถลงเนื่องใน "วันผู้ลี้ภัยโลก" ปี 2560 ว่า ตลอดสิบปีที่ผ่านมาประเทศไทยได้ให้การรองรับและช่วยเหลือผู้ลี้ภัย โดยแม้ว่าไทยจะไม่ได้เป็นรัฐภาคีของอนุสัญญาว่าด้วยผู้ลี้ภัย พ.ศ. 2494 แต่ก็ยังให้ความช่วยเหลือทางมนุษยธรรม ยกตัวอย่างเช่น ผู้ลี้ภัยในค่ายผู้ลี้ภัยบริเวณชายแดนไทย-เมียนมาที่ทางการไทยไม่ได้บังคับส่งกลับ แต่ยืนยันให้มีการส่งกลับโดยสมัครใจแทน
ขณะเดียวกันในที่ประชุมสุดยอดผู้นำแห่งสหประชาชาติว่าด้วยผู้ลี้ภัยเมื่อเดือนกันยายน 2559 และเวทีนานาชาติอีกหลายโอกาส ทางการไทยเน้นย้ำโดยตลอดว่าจะคุ้มครองสิทธิของผู้ลี้ภัย พัฒนาระบบคัดกรองผู้ลี้ภัย และปฏิบัติตามหลักการไม่ส่งกลับ (non-refoulement) อย่างเคร่งครัด
แอมเนสตี้ กล่าวด้วยว่า ผู้ลี้ภัย (refugees) และผู้แสวงหาที่ลี้ภัย (asylum seekers) ที่ลี้ภัยยังไม่มีสถานะทางกฎหมายในประเทศไทย ทำให้พวกเขาถูกปฏิบัติในฐานะ "คนเข้าเมืองผิดกฎหมาย" ซึ่งเสี่ยงที่จะถูกจับติดคุกอย่างไม่มีกำหนดและบังคับส่งตัวกลับไปยังพื้นที่อันตราย
ปัจจุบัน คาดว่า มีผู้ลี้ภัยและผู้แสวงหาที่ลี้ภัยที่ขึ้นทะเบียนกับ UNHCR ราว 330 คนที่ถูกควบคุมตัวอยู่ในศูนย์กักตัวคนต่างด้าวซึ่งมีสภาพแออัดและเลวร้าย โดยบางคนถูกควบคุมตัวมานานหลายปีแล้ว
นอกจากนี้ มีรายงานว่าคนจากชาติพันธุ์บางกลุ่ม เช่น ชาวม้งลาว ไม่สามารถขึ้นทะเบียนกับ UNHCR ได้ เป็นเหตุให้พวกเขาไม่มีโอกาสถูกส่งไปตั้งถิ่นฐานในประเทศที่สาม
ขณะที่ในคำแถลงของแอมเนสตี้ ระบุด้วยว่า ประเทศไทยยังเคยละเมิดหลักการไม่ส่งกลับซึ่งเป็นกฎหมายจารีตระหว่างประเทศ กรณีล่าสุดคือเมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม 2560 ทางการไทยส่งตัวนายเอ็ม ฟูรกาน เซิกเม็น (M. Furkan Sökmen) กลับตุรกีผ่านกระบวนการส่งผู้ร้ายข้ามแดน แม้ว่าสหประชาชาติจะเตือนแล้วว่าเขาเสี่ยงจะถูกคุกคามหากถูกส่งตัวกลับไปยังตุรกี กรณีดังกล่าวเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนที่ร้ายแรงและทำให้ผู้ลี้ภัยและผู้แสวงหาที่ลี้ภัยคนอื่นๆ ในประเทศไทยเกิดความหวาดกลัว
แอมเนสตี้จึงเรียกร้องทางการไทยให้รับประกันว่าจะไม่มีการควบคุมตัวผู้ลี้ภัยหรือผู้แสวงหาที่ลี้ภัย มีนโยบายและกรอบกฎหมายที่เข้มแข็งเพื่อคุ้มครองสิทธิของผู้ลี้ภัยและผู้แสวงหาที่ลี้ภัยมากขึ้น ซึ่งรวมถึงสิทธิที่จะพำนักชั่วคราวในประเทศไทยระหว่างที่รอการพิจารณาส่งตัวไปยังประเทศที่สาม
“การให้ความช่วยเหลือผู้ลี้ภัยอยู่คู่กับประวัติศาสตร์สมัยใหม่ของประเทศไทยมาตั้งแต่ปี 2513 โดยปัจจุบัน มีผู้ลี้ภัยอาศัยอยู่ในค่ายผู้ลี้ภัยต่างๆ ตามแนวชายแดนไทย-เมียนมาประมาณ 100,000 คน และยังมีผู้ลี้ภัยและผู้แสวงหาที่ลี้ภัยอีกราว 8,000 คนที่อาศัยอยู่ในเขตเมือง ผู้ลี้ภัยในไทยมาจากหลายที่ เช่น เมียนมา ลาว กัมพูชา เวียดนาม ปากีสถาน โซมาเลีย อิรัก ปาเลสไตน์ ซีเรีย ฯลฯ”