เขย่าระบบยุติธรรมสหรัฐ(2) รื้อคดีพิสูจน์'เส้นผม' FBIพลาดเพียบ 'พ่อเข้าคุก-ครอบครัวพัง'
"...เดสิรี เบิร์ค (Desiree Burk) วัย 36 ปี บุตรสาวของนายเบอราเน็ก ได้เข้าร่วมฟังการไต่สวนเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ด้วย เธอกล่าวว่าการตรวจพิสูจน์หลักฐานของเอฟบีไอทำให้ครอบครัวต้องพรากจากกัน พร้อมยืนยันว่า พ่อของตนไม่ได้กระทำผิด เส้นผมดังกล่าวไม่ใช่ของนายเบอราเน็ก และตนได้สูญเสียช่วงเวลาที่ควรมีร่วมกับบิดาทั้งในวัยเด็กและผู้ใหญ่ตลอดจนบิดาต้องสูญเสียคนรู้จักไปมากมายตลอดเวลาระยะเวลาที่ถูกคุมขัง..."
ในตอนที่แล้วเป็นการเริ่มต้นเปิดประเด็นกรณีเอฟบีไอ(FBI) รับว่าพิสูจน์หลักฐานคดีเส้นผม เส้นขน และเส้นใย พลาดกว่าร้อยละ 90 ทำผู้บริสุทธิ์ติดคุก! ผ่านการรายงานข่าวของศูนย์ข่าวสืบสวนวิสคอนซิน (The Wisconsin Center for Investigative Journalism) ประเทศสหรัฐอเมริกา (http://wisconsinwatch.org)
โดยมีการหยิบยก คดีนายริชาร์ด เบอราเน็ก (Richard Beranek) ที่ตกเป็นผู้ต้องสงสัยกรณีแม่ลูกสองวัย 28 ปี ถูกชายนิรนามข่มขืนในที่พักอาศัย เขตชนบทเมืองสเตาจ์ทัน (Stoughton city) เทศมณฑลเดน ก่อนจะถูกตัดสินลงโทษจำคุกเป็นเวลา 243 ปี ในช่วงปี 1990 (2533) ซึ่งปัจจุบันถูกคุมขังมาแล้ว 27 ปี ซึ่งกำลังถูกฟื้นคดีขึ้นมาพิจารณาใหม่ ขึ้นมาฉายภาพให้เห็นข้อมูลแบบเจาะลึก
(อ่านประกอบ :เขย่าระบบยุติธรรมสหรัฐ! FBI พิสูจน์หลักฐาน'เส้นผม'พลาดร้อยละ90 ทำผู้บริสุทธิ์ติดคุก(1))
คำถามสำคัญที่ตามมา คือ นอกจากคดีของนายริชาร์ด เบอราเน็กแล้ว ยังมีคดีอื่นๆ ที่ปรากฏข้อมูลแบบเดียวกันหรือไม่
คำตอบ คือ มี และมีจำนวนมากหลายคดี ที่ถูกระบุถึงปัญหาในลักษณะเดียวกัน และนำไปสู่การสั่งรื้อทั้งระบบคดีเส้นผม ของ FBI ด้วย
ศูนย์ข่าวสืบสวนวิสคอนซิน รายงานว่า มีการคาดการณ์ว่าคดีของเอฟบีไออีกสามพันกว่าคดีทั่วสหรัฐอเมริกาใช้การตรวจพิสูจน์เปรียบเทียบเส้นผมและเส้นขนในการพิสูจน์พยานหลักฐานลักษณะเดียวกัน ในจำนวนนี้ยังไม่รวมคดีที่อยู่ในความรับผิดชอบของมลรัฐด้วย
อย่างไรก็ตาม ในการนำคดีต่างๆ ขึ้นมาพิจารณาใหม่ยังมีอุปสรรคอยู่มาก ทำให้เกิดคำถามว่าแม้หลักฐานใหม่อย่างดีเอ็นเอจะหักล้างหลักฐานเก่าได้ ชะตาของเหยื่อมากมายใต้ระบบยุติธรรมจะได้รับความเป็นธรรมหรือไม่
สำหรับคดีอื่นๆ มีการระบุข้อมูลไว้ดังนี้
คดีของนายแพตทริก ดับเบิลยู กรีร์ (Patrick W. Greer) ในเทศมณฑลลาครอส (La Crosse county) จากปี 1995 นายกรีร์ถูกซัดทอดจากนายเกรกอรี ลิบค์ (Gregory Libke) ผู้ปล้นว่า เขาเป็นผู้สมรู้ร่วมคิด
นายกรีร์ปฏิเสธตั้งแต่ต้นว่าไม่มีส่วนรู้เห็น!!
แต่ก็ผลการตรวจเส้นผมของเขากับเส้นผมที่ติดอยู่กับเทปผ้าบนกระเป๋าที่ใช้ขนเงินออกมาตรงกัน ทำให้ถูกตัดสินความผิดและต้องโทษจำคุก 25 ปี
ก่อนที่เวลาต่อมา ผู้ร่วมห้องขังในเรือนจำเทศมณฑลลาครอสของทั้งลิบค์และกรีร์ ได้บอกแก่เจ้าหน้าที่ว่า ลิบค์สารภาพกับเขาว่า จงใจกล่าวถึงกรีร์โดยเท็จเพื่อปกป้องผู้สมรู้ร่วมคิดคนอื่น
ปัจจุบันเอฟบีไอยอมรับแล้วว่าการพิสูจน์หลักฐานโดยนายคริส อัลเลน นักนิติวิทยาศาสตร์ที่ใช้ชี้ตัวกรีร์ในครั้งนั้นเกินจริงอยู่มาก
ยกตัวอย่างเช่น อัลเลน กล่าวต่อคณะลูกขุนในเวลาหนึ่งว่า เส้นผมเส้นขนนั้นมีลักษณะพิเศษที่ “เรียงตัวตามแบบเฉพาะของแต่ละบุคคลที่ทำให้เขาสามารถชี้ได้ว่าเป็นเส้นผมของใคร” ซึ่งไม่เป็นความจริง
ล่าสุด นายกรีร์จำคุกชดใช้ความผิดที่ตนเองไม่ได้ก่อ จนพ้นโทษก่อนกำหนดในปี 2009 (2552) โดยติดภาคทัณฑ์ไว้
เบื้องต้น จากคำบอกเล่าของนายทิม กรูแอนค์ (Tim Gruenke) อัยการประจำเขตเทศมณฑลลาครอส นายกรีร์ ได้รับการแจ้งแล้วว่าเอฟบีไอกำลังดำเนินการรื้อฟื้นคดี และกำลังปรึกษาเรื่องคดีกับเจ้าหน้าที่ภาคทัณฑ์ของตน
@ เอฟบีไอรับกว่าผลการตรวจพิสูจน์หลักฐานเส้นผมในคดีปล้นแบงค์ ปี 1994 (2537) ในพื้นที่เทศมณฑลลาครอสไม่เที่ยงตรง
ทำให้นายแพทริก ดับเบิลยู กรีร์ ต้องโทษจำคุก 25 ปี แม้จะปฏิเสธตั้งแต่แรกแล้วว่าไม่มีส่วนรู้เห็น
นอกจากนี้ ยังมีคดีของนายจอร์จ แพรอต (George Perrot) ที่เส้นผมเพียงหนึ่งเส้นนำไปสู่การฟ้องบุกรุกย่องเบาและข่มขืนในเมืองสปริงฟิลด์ มลรัฐแมสซาชูเซตส์
เอฟบีไอพบว่า ในคดีนี้ นายโอ๊คส์ นักนิติวิทยาศาสตร์คนเดียวกับที่ดำเนินการในคดีของนายริชาร์ด เบอราเน็ก เป็นผู้พิสูจน์พยานหลักฐานที่มีผลคลาดเคลื่อนเช่นกัน
ในปี 2016 (2559) มีการกลับคำตัดสินคดีของนายแพรอต และปล่อยนายแพรอตที่เป็นแพะรับบาปอยู่ในเรือนจำเกือบ 30 ปีออกมา แต่ไม่ได้ประกาศว่าพยายามดำเนินคดีใหม่อีกรอบหรือไม่
ขณะที่ สมาคมทนายช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม กล่าวว่า “ไม่ใช่ว่าจำเลยในคดีเกี่ยวข้องกับการวิเคราะห์เส้นผมทุกคนจะเป็นผู้บริสุทธิ์ แต่การตรวจเทียบเคียงดังกล่าวก็เป็นปัจจัยหนึ่งที่สำคัญในการตัดสินอย่างผิดพลาดทั่วทั้งประเทศ หากรื้อคดีใหม่ศาลจะพิจารณาโดยคำนึงด้วยว่าการตรวจพิสูจน์อาจไม่ถูกต้องก็ได้”
ทั้งนี้ ในบางกรณีแม้พยานหลักฐานทางเส้นผมเส้นขนและการตรวจเทียบเคียงโดยเอฟบีไอจะผิดพลาดไป แต่ก็อาจไม่ได้เป็นสาระสำคัญของคดีก็ได้เช่นกัน
นอกจากนี้ สำนักงานผู้ตรวจการกระบวนการยุติธรรมแห่งสหรัฐอเมริกา (Office of the Inspector General) พบว่ามีนักโทษสามคนทั่วประเทศได้ถูกประหารไปแล้ว ก่อนมีการโจมตีเรื่องความถูกต้องของการตรวจพิสูจน์หลักฐานนี้ (วิสคอนซิลไม่มีโทษประหาร)
จึงมีการวิพากษ์วิจารณ์ว่าการรื้อคดีเป็นไปอย่างเชื่องช้าเกินไปหรือไม่ หรือต้องสังเวยผู้บริสุทธิ์ไปมากกว่านี้อีก?
@ ศูนย์ข่าว ฯ ยื่นคำร้องขอเปิดเผยบันทึกคดี-โจทก์ปิดปากเงียบ
เพื่อตรวจสอบความคืบหน้าการรื้อฟื้นคดีของเอฟบีไอในวิสคอนซิน ศูนย์ข่าว ฯ ส่งคำร้องขอให้กระทรวงยุติธรรมแห่งมลรัฐวิสคอนซินเปิดเผยบันทึกคดีตั้งแต่กลางเดือนกุมภาพันธ์เพื่อขอเอกสารทั้งหมดที่เกี่ยวข้อง
ผลคือได้ข้อมูลมาเพียงไม่กี่หน้า มีข้อมูลเพียงสามคดี ได้แก่คดีของนายกรีร์ คดีของนายลาล์ ที่การตรวจพิสูจน์ไม่ส่งผลต่อรูปคดี ส่วนคดีที่สามไม่ปรากฎชื่อ
โฆษกกระทรวงยุติธรรมของมลรัฐ ฯ จอห์นนี คอร์เมอนอส (Johnny Koremenos) กล่าวว่า กระทรวง ฯ มีบันทึกคดีเพียงเท่านี้ ส่วนข้อมูลของคดีอื่น ๆ ต้องติดต่อส่วนงานที่ยื่นฟ้องคดีเหล่านั้นแทน
ศูนย์ข่าวฯ จึงได้ยื่นคำร้องขอบันทึกคดีจากสำนักงานอัยการแห่งสหรัฐอเมริกาในเมืองเมดิสันและเมืองมิลวอกี (Milwaukee) ในเดือนมีนาคมแล้ว คำร้องขอกำลังรอการพิจารณาอนุมัติ
นางวาเนสซา อันโตวน์ (Vanessa Antoun) ทนายประจำสมาคมทนายช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรมแห่งสหรัฐอเมริกา (เอ็นเอซีดีแอล) เผยว่า ศูนย์ข่าว ฯ ไม่สามารถระบุการรื้อฟื้นคดีส่วนใหญ่ได้ หรือไม่อาจทราบได้เลยว่าจำเลยส่วนใหญ่รวมถึงอัยการได้รับทราบข้อมูลการรื้อฟื้นคดีหรือไม่ เพราะโจทก์เป็นเพียงฝ่ายเดียวที่ได้รับมอบอำนาจให้แจ้งธุระนี้แก่จำเลย ซึ่งโดยปกติแล้วมักจะไม่ได้แจ้ง
ปีที่ผ่านมา เจมส์ โคมีย์ (James Comey) ผู้อำนวยการเอฟบีไอ ณ เวลานั้น ขอให้เหล่าผู้ว่าการมลรัฐประสานโจทก์ในมลรัฐของตนให้ยินยอมแจ้งจำเลยว่าการตรวจเปรียบเทียบเส้นผมและเส้นขนที่ใช้ในชั้นศาลผิดพลาด อาจทำให้ “เหล่าคณะลูกขุนและผู้พิพากษาเข้าใจผิดไป”
สำนักงานผู้ตรวจการกระบวนการยุติธรรมแห่งสหรัฐอเมริกา (Office of the Inspector General) กล่าวว่า สำนักงานผู้ตรวจการ ฯ ได้ตรวจสอบว่าข้อมูลดังกล่าวไปถึงจำเลยมากน้อยเพียงใดไป 402 คดีทั่วประเทศแล้ว สามารถยืนยันได้ว่าจำเลยได้ทราบเรื่องแล้วเพียง 15 คดีเท่านั้น
คดีของเอฟบีไอในรัฐวิสคอนซินเพียงคดีเดียวที่ถูกตรวจสอบโดยสำนักงานผู้ตรวจการ ฯ พบว่า จำเลยสามคนจากสี่คนในคดีลักพาตัวและล่วงละเมิดทางเพศเมื่อปี 1979 ที่ฟ้องในเขตอำนาจศาลอเมริกาในมิลโวกี ยังไม่ได้รับแจ้งว่าการตรวจหลักฐานเส้นผมในคดีของตนให้ผลคลาดเคลื่อน
การตรวจเทียบเคียงดังกล่าวดำเนินการโดยเจ้าหน้าที่ไมเคิล มาโลน พนักงานนิติวิทยาศาสตร์ของเอฟบีไอที่ถูกกล่าวอ้างในคดีของนายเบอราเน็ก
แต่ในที่นี้ นายเดนนิส วีนีกี (Dennis Wieneke) เป็นจำเลยเพียงคนเดียวในคดีนั้นที่ได้รับแจ้งเรื่องข้อผิดพลาดดังกล่าวในปี 2014 โดยการตรวจพิสูจน์หลักฐานครั้งใหม่เกิดขึ้นในปี 2003
วีนีกี ถูกตัดสินว่ามีความผิด ต้องโทษจำคุกเป็นเวลา 23 ปีคุก เขากล่าวว่า ตนรู้สึกเสียใจที่ต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีดังกล่าว มาโลนทำให้คนบริสุทธิ์มากมายต้องตกเป็นแพะด้วย โดยกล่าวว่า “ถ้ามีการยืนยันหลักฐานจากเอฟบีไอ ศาลก็เชื่อไปแล้วว่าการตรวจสอบนั้นให้ผลถูกต้องร้อยเปอร์เซ็น”
ทั้งนี้ ก่อนทศวรรษ 1990 แทบไม่มีใครระแคะระคายว่าการตรวจเทียบเคียงเส้นผมเส้นขนและเส้นใยของเอฟบีไออาจคลาดเคลื่อนได้ จนกระทั่งถูกเปิดโปงในปี 1998 (2541)
@ คดีท้องถิ่นไร้แววตรวจสอบ
นอกเหนือจากคดีของเอฟบีไอที่มีขอบเขตคดีในระดับประเทศแล้ว ยังมีสิบห้าคดีที่อยู่ในความรับผิดชอบของมลรัฐวิสคอนซินแยกออกมาต่างหาก
จากข้อมูลของกระทรวงยุติธรรมแห่งมลรัฐวิสคอนซิน พบว่า คดีเหล่านี้ไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของการรื้อฟื้นคดีที่จำกัดเฉพาะคดีของเอฟบีไอเท่านั้น
อดีตผอ.เอฟบีไอ โคมีย์ ได้ขอร้องให้มลรัฐและหน่วยงานท้องถิ่นไปต่อยอดรื้อคดีของหน่วยงานของตน และกลับไปตรวจสอบนักนิติวิทยาศาสตร์จากห้องปฏิบัติการนิติเวชศาสตร์ของตนด้วย เพราะบางคนอาจจะถูกฝึกโดยหน่วยเส้นผมขนและเส้นใยของเอฟบีไอที่ตอนนี้ไม่น่าเชื่อถือแล้ว
ส่วน ทนายคริสตีนา บอร์เด (Christina Bordé) จากโครงการผู้บริสุทธิ์แห่งวิสคอนซิน กล่าวว่า โครงการ ฯ มีความพยายามจะร่วมมือกับกระทรวงยุติธรรมเพื่อนัดตรวจสอบคดีเหล่านั้น แต่กระทรวง ฯ กลับไม่มีข้อความใด ๆ ตอบกลับมา
แต่เมื่อเร็ว ๆ นี้กระทรวง ฯ ก็ได้บอกผลสำรวจกับทางโครงการ ฯ แล้วว่า มีนักนิติวิทยาศาสตร์และคดีสิบห้าคดีที่อยู่ในความรับผิดชอบของมลรัฐเกี่ยวข้องกับการตรวจเปรียบเทียบเส้นผมโดยห้องปฏิบัติการนิติเวชศาสตร์ของมลรัฐ ทั้งนี้ กระทรวง ฯ ปฏิเสธที่จะระบุคดี โดยอ้างกฎหมายของมลรัฐที่อนุญาตให้ปฏิเสธการขอเข้าถึงเอกสารทางกฎหมายแก่คนที่มิได้อยู่ในกระบวนการบังคับใช้กฎหมาย
ทั้งนี้ นายคอร์เมอนอส โฆษกกระทรวงยุติธรรมประจำมลรัฐ กล่าวว่าห้องปฏิบัติการนิติเวชศาสตร์ของมลรัฐได้หยุดการใช้การตรวจเปรียบเทียบเส้นผมกว่า 20 ปีแล้วเพราะการวิเคราะห์เป็นอัตวิสัยเกินไปและมีการใช้ดีเอ็นเอเข้ามาแทนที่
แต่ในขณะที่ ข้อเท็จจริงกลับไม่เป็นไปตามที่โฆษกกล่าว เพราะที่ผ่านมายังมีการพิสูจน์พยานหลักฐานด้วยวิธีดังกล่าวอย่างน้อยก็สองครั้งในวิสคอนซิน
ในปี 1991 การพิจารณาคดีของคาเรน โดเฟอร์ (Karen Doefer) นักนิติวิทยาศาสตร์ประจำห้องปฏิบัติการนิติเวชศาสตร์ประจำมลรัฐ ได้รับรองว่าเส้นผมของนายแอนโทนี ฮิกส์ (Anthony Hicks) “สอดคล้อง” กับเส้นผมที่พบในที่เกิดเหตุล่วงละเมิดทางเพศในเมืองเมดิสัน
จากการตรวจดีเอ็นเอจึงพบว่าจริง ๆ แล้วเส้นผมไม่ใช่ของเขา นายฮิกส์ที่พ้นโทษในปี 1996 ได้รับเงินหนึ่งแสนเก้าพันดอลลาร์จากรัฐเพื่อชดเชยสี่ปีครึ่งที่ต้องใช้ในคุกอย่างไม่เป็นธรรม
ปี 1981 ในการพิจารณาคดีฆ่าข่มขืนสยองของราล์ฟ อาร์มสตรอง (Ralph Armstrong) นางคอยลา เวกเนอร์ (Coila Wegner) นักนิติวิทยาศาสตร์จากห้องปฏิบัติการประจำมลรัฐ ได้กล่าวขยายไว้อย่างรอบคอบว่า เส้นผมที่พบในที่เกิดเหตุและบนตัวเหยื่อนั้น “ใกล้เคียง” หรือ “สอดคล้อง” กับเส้นผมของอาร์มสตรอง “แต่ก็ไม่สามารถฟันธงได้ว่าเป็นเส้นผมของเขา”
อย่างไรก็ตาม จอห์น นาร์เซทเทอร์ (John Norsetter) ผู้ช่วยอัยการประจำเทศมณฑลเดนละเลยข้อพึงระวังนี้และกล่าวกับคณะลูกขุนว่าเส้นผมที่พบบนเสื้อคลุมของเหยื่อเป็นของอาร์มสตรอง
หลังจากมีการตรวจดีเอ็นเอพบว่าอาร์มสตรองไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับที่มาของเส้นผมนั้นแต่อย่างใด
อาร์มสตรองเป็นแพะรับบาปเป็นเวลานานถึง 29 ปี เป็นไปได้สูงว่าเขาอาจรับโทษแทนพี่ชายที่ให้การสารภาพในเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมาว่าเป็นคนก่อเหตุ
ขณะนี้พี่ชายของอาร์มสตรองได้เสียชีวิตไปแล้ว ทางการเทศมณฑลเดนและเทศบาลเมืองเมดิสันตกลงจ่ายชดเชยให้เขา 1.75 ล้านดอลลาร์
มีหลายรัฐที่เกี่ยวข้องนอกเหนือจากนี้ ได้แก่ ไอโอวา เมสซาซูเซต และเท็กซัสกำลังดำเนินการตรวจสอบคดีที่มีการตรวจพิสูจน์ด้วยวิธีดังกล่าวในรัฐของตนเช่นกัน
@ (ภาพจากหอจดหมายเหตุมลรัฐวิสคอนซิน) ราล์ฟ อาร์มสตรองต้องโทษจำคุก 29 ปี ด้วยคดีฆ่าข่มขืนสยองในเมืองเมดิสัน ปี 1981 (2524)
ศาลกลับคำตัดสินในเวลาต่อมาเนื่องจากการตรวจดีเอ็นเอให้ผลว่าเส้นผมของกลางไม่ใช่ของนายอาร์มสตรอง
@ คดีเบอราเน็กยังหาข้อสรุปไม่ได้
ย้อนกลับมาดูความคืบหน้าการรื้อฟื้นคดีของนายริชาร์ด เบอราเน็ก
ผู้ช่วยอัยการสูงสุดไคเซอร์ ที่เป็นผู้ส่งฟ้องคดีเบอราเน็กตั้งแต่การดำเนินคดีครั้งแรกกำลังพยายามดำเนินการเพื่อสกัดการนำคดีดังกล่าวขึ้นพิจารณาใหม่
ส่วนผู้พิพากษาโมเซอร์ ที่ตัดสินให้เบอราเน็กจำคุกเมื่อ 27 ปีที่แล้วมาได้เกษียณอายุแล้ว และรับเข้าฟังการไต่สวนคำร้องคดีเบอราเน็กในฐานะผู้พิพากษาสำรอง
ในตอนต้นของการเบิกพยานในเดือนก.พ.ที่ นายคีธ ฟินลีย์ (Keith Findley) ผู้อำนวยการร่วมโครงการผู้บริสุทธ์แห่งวิสคอนซิล กล่าวว่ารัฐไม่ได้ให้ความสำคัญต่อหลักฐานใหม่อย่างดีเอ็นเอมากพอ
ด้าน นายบริซ เบนเจท (Bryce Benjet) ที่ปรึกษาร่วมโครงการผู้บริสุทธิ์นิวยอร์กบอกแก่ศาลว่า “หลักฐานทางดีเอ็นเอได้หักล้างการพิสูจน์หลักฐานของเอฟบีไอในการพิจารณาคดีอย่างชัดเจนแล้ว”
ระหว่างการไต่สวนคำร้อง อัยการไคเซอร์ตั้งคำถามต่อเจ้าหน้าที่ผู้ดำเนินการตรวจสอบดีเอ็นเออย่างละเอียดเกี่ยวกับการจัดเก็บเส้นผม โดยโต้ว่าจำเลยพิสูจน์ไม่ได้ว่าเส้นผมเส้นขนของกลางที่นายโอ๊คใช้ตรวจสอบ กับเส้นผมที่ใช้ตรวจดีเอ็นเอจะเป็นชุดเดียวกัน เพราะ ผลการตรวจดีเอ็นเอมาจากกรตรวจเส้นผมเส้นขนเพียงห้าหรือหกเส้นเท่านั้น
ในขณะที่ นายฟินด์ลีย์ยืนยันว่าเส้นผมที่ใช้ตรวจเป็นเส้นผมของกลางแน่นอน พร้อมกล่าวว่า “ไม่ว่าจะมีความคาดหวังให้ผลเป็นเช่นไร ที่สำคัญ คือเราทราบแล้วว่าการวิเคราะห์เส้นผมของเอฟบีไอมีความผิดพลาด ทำให้รัฐ ศาล และคณะลูกขุนสำคัญรูปคดีผิดไป”
เดสิรี เบิร์ค (Desiree Burk) วัย 36 ปี บุตรสาวของนายเบอราเน็ก ได้เข้าร่วมฟังการไต่สวนเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ด้วย เธอกล่าวว่าการตรวจพิสูจน์หลักฐานของเอฟบีไอทำให้ครอบครัวต้องพรากจากกัน
พร้อมยืนยันว่า พ่อของตนไม่ได้กระทำผิด เส้นผมดังกล่าวไม่ใช่ของนายเบอราเน็ก และตนได้สูญเสียช่วงเวลาที่ควรมีร่วมกับบิดาทั้งในวัยเด็กและผู้ใหญ่ตลอดจนบิดาต้องสูญเสียคนรู้จักไปมากมายตลอดเวลาระยะเวลาที่ถูกคุมขัง
@ นางโรส เบอราเน็ก (Rose Beranek) และนางเดสิรี เบิร์ค (Desiree Burk) มารดาและบุตรสาวของนายริชาร์ด เบอราเน็ก
แม้จะมีหลักฐานใหม่มายืนยันแต่ชะตาของเหยื่อยังคลุมเครือ หากระบบยุติธรรมยังขาดสำนึกทางมโนธรรมและความรับผิดชอบ ก็เป็นได้เพียงรัฐนาฏกรรมที่ใช้สถาปนาความชอบธรรม มิหนำซ้ำยังย้อนมาทำร้ายพลเมืองผู้ให้ความชอบธรรมนั้นเสียเอง
สำหรับประเทศไทย คำถามสำคัญ สำหรับกรณีนี้ ยังคงเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนไปจากการนำเสนอข้อมูลในตอนแรก
คือ ในกระบวนการตรวจสอบพิสูจน์หลักฐานคดีเส้นผม เส้นขน และเส้นใย ของประเทศไทยในช่วงที่ผ่านมา เคยมีความผิดพลาดเกิดขึ้น และทำให้ผู้บริสุทธิ์ ต้องรับโทษ
ทั้งที่ ไม่ได้เป็นผู้ก่อเหตุ แบบเดียวกันเกิดขึ้นด้วยหรือไม่
ถ้ามีเราจะทำอะไรกับเรื่องนี้กันบ้างไหม?
(หมายเหตุ:เรียบเรียงจาก Wisconsin, U.S. used flawed hair evidence to convict innocent people, “Wisconsin Watch”, เข้าถึงได้จาก http://wisconsinwatch.org/2017/04/wisconsin-u-s-used-flawed-hair-evidence-to-convict-innocent-people/ -เรียบเรียงโดย วศินี พบูประภาพ )
อ่านเรื่องอื่นเพิ่มเติม :
ครบรอบ 12 ปี ใครคือ ‘ดีพโธรท’ ปล่อยข้อมูล คดีวอเตอร์เกต
เขย่าระบบยุติธรรมสหรัฐ! FBI พิสูจน์หลักฐาน'เส้นผม'พลาดร้อยละ90 ทำผู้บริสุทธิ์ติดคุก(1)