นักผังเมือง มธ.แนะลอกคลอง-จัดการขยะไม่พอรับมือน้ำท่วมกรุงในอนาคต
นักวิชาการผังเมือง มธ.ชี้ น้ำท่วมขังในกรุงเทพฯ เกิดจากปัญหา 3 ส่วน พร้อมแนะนำหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง หามาตรการป้องกันน้ำฝนที่อาจจะเพิ่มมากขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ
วันที่ 7 มิ.ย 2560 ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.วิจิตรบุษบา มารมย์ อาจารย์คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์และการผังเมือง มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวถึงปัญหาน้ำท่วมในกรุงเทพมหานครที่จะเกิดขึ้นในอนาคตจากปัจจัยภายในซึ่งมีสาเหตุหลักจากดินที่ทรุดตัวต่อเนื่อง โดยบางพื้นที่สูงถึงปีละ 30 มิลลิเมตร และการขยายตัวของผังเมืองไปสู่พื้นที่น้ำท่วมซ้ำซาก ส่งผลให้เมื่อมีปัจจัยภายนอกอย่างฝนที่ตกลงมาอย่างต่อเนื่องในช่วงนี้จึงเกิดการขังของน้ำและระบายไม่ทันประกอบกับการเกิดน้ำทะเลหนุนจึงทำให้การระบายเป็นไปอย่างช้าๆ แม้ระบบการระบายน้ำของกรุงเทพมหานครเมื่อเทียบกับเมืองอื่นในประเทศแล้วจะดีกว่าก็ตาม
ทั้งนี้ภาครัฐต้องเร่งแก้ไขปัญหา 3 ส่วนได้แก่
1. แก้ไขปัญหาขยะที่อุดตันตามท่อระบายน้ำ โดยการเร่งนำขยะออกจากจุดที่เสี่ยงต่อการกีดขวางทางน้ำไหล
2. สำรวจปัญหาที่อาจเกิดจากก่อสร้างตามการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ของประเทศ รวมถึงระบบโครงสร้างพื้นฐานใต้ดิน เช่น ท่อที่อาจจะยังไม่มีการสำรวจข้อมูลล่าสุดให้ชัดเจนว่าท่อพื้นที่ใดมีความสูงหรือต่างกันอย่างไรบ้าง จนทำให้กรมทางหลวงต้องออกมาเตือนให้ประชาชนได้ระมัดระวังและรับมือโดยมีจำนวน 20 จุดที่เป็นพื้นที่เสียงน้ำท่วมขังซึ่งเรียกว่าเป็นจุดอ่อนไหว ทั้งถนนวิภาวดี งามวงศ์วาน หรือแจ้งวัฒนะ ซึ่งการแก้ปัญหานี้อาจจะไม่ใช้เรื่องง่ายนักเพราะพื้นที่กรุงเทพฯมีความสูงจากระดับน้ำทะเลปานกลางเพียง 1-2 เมตรเท่านั้น
3. ตรวจสอบช่องโหว่ของกฎหมายต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับผังเมือง จากที่มีข้อถกเถียงว่าสาเหตุของการเกิดน้ำท่วมขังมาจากการจัดการผังเมืองที่ไม่ถูกและควรจัดการผังเมืองใหม่นั้น ในความเป็นจริงแล้วส่วนของนโยบายผังเมืองก็มีการกำหนดพื้นที่ที่ไม่ควรมีการตั้งถิ่นฐานหรือสิ่งปลูกสร้างหนาแน่นอยู่แล้ว แต่ปัญหาจะอยู่ในการบังคับใช้ผังเมือง ที่เกี่ยวข้องกับผู้ปฏิบัติหลายหน่วยงาน และกฎหมายผังเมืองในปัจจุบันก็ไม่อาจจะควบคุมการปลูกสร้างได้ทั้งหมด ทำให้เกิดช่องโหว่และยังไม่มีประสิทธิภาพเท่าที่ควรในการบังคับใช้กฎหมายจึงทำให้เกิดปัญหาต่างๆ ตามมา อาทิ การสร้างสิ่งปลูกสร้างรุกล้ำอาณาเขตซึ่งกีดขวางทางระบายน้ำ ส่งผลให้การระบายทำได้ยาก
ผศ.ดร.วิจิตรบุษบา กล่าวถึงการก่อสร้างอุโมงค์ยักษ์ระบายน้ำว่าจะสามารถแก้ไขปัญหาน้ำท่วมขังในกรุงเทพฯได้ในระดับหนึ่งแต่ก็เป็นเพียงกรุงเทพชั้นในเท่านั้น ซึ่งต้องหามาตรการอื่นมาเพิ่มเติมเพื่อแก้ไขปัญหาให้กับกรุงเทพชั้นนอกและปริมณฑล เพราะปัญหาน้ำท่วมขังจะไม่หยุดเพียงเท่านี้ แต่จากการเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศหรือ Climate Change อาจจะส่งผลให้ฝนตกในปริมาณที่มากขึ้นและเกินขีดความสามารถของการระบายน้ำที่มีอยู่ในปัจจุบันและอาจเกิดน้ำท่วมซึ่งจะมีความรุนแรงมากกว่าปี 2554 ด้วยซ้ำ เพราะพื้นที่กรุงเทพไม่ได้รับเพียงน้ำฝนอย่างเดียว แต่ยังต้องรับน้ำทะเลหนุนและน้ำหลากด้วย แม้หน่วยงานที่เกี่ยวขังจะมีการออกมาตรการเพื่อป้องกันแล้วขณะนี้ เช่น การขุดลอกคูคลอง การจัดการขยะที่อุดตันตามท่อระบายน้ำ แต่มองว่ายังไม่เพียงพอต่อการรับมือน้ำท่วมที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต ควรจัดหาให้มีมาตรการทางผังเมืองที่หลากหลายมากขึ้นเพื่อรับมือกับน้ำท่วมในอนาคต