ผลสำรวจชี้ 2ปี คุมราคาสลากไม่ได้ พบวัด-แหล่งท่องเที่ยวขายเกินใบละ150บาท
ผลสำรวจชี้ครบรอบ2ปี คุมราคาสลากยังไปไม่สำเร็จ พบในวัด-ที่ท่องเที่ยว-ร้านอาหารขายเกินราคามากสุด พุ่งใบละ150 ขณะที่ผู้ซื้อ46%ไม่ได้ใส่ใจ-ซื้อช่วยคนขาย แต่1ใน3 จำใจควักกระเป๋าจ่ายเพราะไม่มีทางเลือก
เมื่อวันที่23 พ.ค. 2560 ที่โรงแรมแมนดาริน มูลนิธิรณรงค์หยุดพนัน เครือข่ายประชาชนปฏิรูปสลาก ร่วมกับ เครือข่ายเด็กรุ่นใหม่ไม่พนัน และศูนย์วิจัยเพื่อการพัฒนาสังคมและธุรกิจ จัดเสวนาหัวข้อ “2ปีแก้ปัญหาสลาก80บาท ก้าวให้พ้นหวยออนไลน์” เพื่อสะท้อนความคิดเห็นต่อการทำงานของคณะกรรมการสลากกินแบ่งรัฐบาลช่วงสองปีที่ผ่านมา
นายธน หาพิพัฒน์ ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยเพื่อการพัฒนาสังคมและธุรกิจกล่าวว่า จากการสำรวจปัญหาการจำหน่ายสลากกินแบ่งรัฐบาลเกินราคา งวดวันที่16 มี.ค.ที่ผ่านมา หลังจากที่สำนักงานสลากฯ ได้พิมพ์สลากเพิ่มเป็น 71 ล้านฉบับ พบว่า แม้ประชาชนหาซื้อสลากฯได้ในราคา 80 บาท แต่โดยภาพรวมแล้วพบการขายสลากเกินราคาในทุกที่ เฉลี่ยอยู่ที่ 81.23 บาท โดยสถานที่ขายเกินราคาสูงที่สุด 3 แหล่งคือ ร้านอาหาร เฉลี่ยใบละ 85.26 บาท รองลงมา คือวัดหรือศาสนสถาน ใบละ 85.04 บาท และสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ ใบละ 84.69 บาท โดยราคาสูงสุดที่มีการจำหน่ายตามแหล่งต่างๆ อยู่ที่100-120 บาท ยกเว้นที่วัดหรือศาสนสถานพบว่า ราคาสูงสุดถึงใบละ 150 บาทเลยทีเดียว
“อีกหนึ่งปรากฏการณ์ที่พบคือ การจำหน่ายสลากแบบรวมชุด ซึ่งพบว่าขายอยู่ที่ใบละ 100 บาท และสูงสุดอยู่ที่ใบละ150 บาท ทั้งนี้เมื่อถามถึงเหตุผลในการซื้อสลากเกินราคา พบว่า ผู้ซื้อ46%ระบุว่าไม่ได้ใส่ใจที่ต้องซื้อสลากแพง และยอมซื้อแพงเพื่อช่วยคนขาย ขณะที่ร้อยละ39.5 ตอบว่า ไม่มีทางเลือก และร้อยละ14 รู้สึกว่าถูกโกงจากการต้องซื้อสลากแพง”
ด้านนายธนากร คมกฤส เลขาธิการมูลนิธิรณรงค์หยุดการพนัน กล่าวว่าปัจจุบันสลากฯได้ครองแชมป์การพนันอันดับหนึ่งแซงหวยใต้ดินแล้วเป็นความสำเร็จในการแก้ปัญหาสลากเกินราคา ที่ส่งผลต่อความเชื่อมั่นของคอพนัน ถึงสลากฯจะขายดีแต่หวยใต้ดินก็ไม่ได้หมดไป และกลายเป็นว่าสลากฯกับหวยใต้ดิน ที่เรียกรวมๆว่า“หวย” มีอิทธิพลต่อพฤติกรรมการเสี่ยงโชคของคนไทย ทำให้ทุกวันที่ 1และ16 ของทุกเดือน คนไทยไม่มีแก่ใจจะทำอะไร แม้ว่าการแก้ปัญหาของคณะกรรมการสลากกินแบ่งรัฐบาลชุดปัจจุบันจะน่าชื่นชม แต่ต้องยอมรับว่าก็มีผลข้างเคียงต่อสังคม และดูเหมือนว่าจะไม่เกิดผลที่ยั่งยืน ออกอาการเป็นลิงแก้แห ยิ่งแก้กลับยิ่งยุ่ง กิจการสลากควรต้องมีความรับผิดชอบมากกว่าการผลิตและจำหน่ายเพียงเท่านั้น การแก้ปัญหาโดยการเพิ่มผลิตภัณฑ์ใหม่ อย่างหวยออนไลน์ อาจนำมาสู่ปัญหาใหม่ เช่น จะมีการเล่นพนันเพิ่มมากขึ้น เกิดการกระทบต่อผู้ค้ารายย่อย ที่จะถูกแย่งชิงตลาด และอาจมีการนำสลากออนไลน์มาขายต่อในราคาที่แพงกว่ากฎหมายกำหนด
“กิจการสลากฯต้องกล้ายอมรับอย่างสง่าผ่าเผยว่า สลากฯเป็นการพนันที่มีอิทธิพลสูงต่อสังคม หากจะทำอะไรต้องคำนึงถึงความรับผิดชอบต่อปัญหาการพนันในสังคมด้วย การที่รัฐจะแก้ปัญหาโดยเพิ่มจำนวนสลากฯหรือเพิ่มผลิตภัณฑ์ โดยยึดสมมติฐานของการแข่งขันเสรีไม่ใช่วิสัยที่สมควร ตรงกันข้ามรัฐควรควบคุมสินค้า จำนวนผู้ค้า รวมทั้งรูปแบบและวิธีการจำหน่ายต่างๆ เช่น ห้ามการรวมชุดขาย ห้ามเร่ขาย และคณะกรรมการสลากฯ ควรใช้กองทุนสลากฯเพื่อพัฒนาสังคม ทำงานเชิงรุก สร้างแคมเปญรณรงค์เพื่อแก้ปัญหาการพนัน สร้างการมีส่วนร่วมของภาคประชาสังคม และกิจการสลากฯจะสวยหล่อขึ้นอย่างมาก” นายธนากร กล่าวและว่า หากมีมาตรการที่คำนึงถึงเด็กและเยาวชน และมุ่งสร้างการเรียนรู้เพื่อเป็นภูมิคุ้มกันให้เยาวชนเห็นถึงโทษภัยของการพนันที่สำคัญต้องวางหลักให้กิจการสลากหลุดพ้นจากอิทธิพลครอบงำของฝ่ายการเมือง โดยปรับโครงสร้างของคณะกรรมการสลากฯให้มีสัดส่วนของภาคนอกราชการมากขึ้น มีที่มาอย่างโปร่งใส และคัดสรรคุณภาพ เพราะหากยังใช้โครงสร้างแบบเดิมๆ เมื่อคสช.จากไปสภาพปัญหาแบบเดิมๆจะกลับมา
ด้านผศ.ดร.รัตพงษ์ สอนสุภาพ ผู้อำนวยการหลักสูตรศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาผู้นำทางสังคม ธุรกิจและการเมืองกล่าวว่า คณะกรรมการสลากฯชุดนี้มีการแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบชัดเจนในการบังคับใช้กฎหมาย จัดระเบียบได้ดีกว่าคณะกรรมการชุดที่ผ่านมา รวมทั้งกลุ่มธุรกิจสลากและผู้ค้าสลากเริ่มปรับตัวเข้าหาระบบ ทำให้ราคาสลากโดยรวมมีเสถียรภาพมากขึ้น แต่ก็ยังมีปัญหาเรื่องสลากรวมชุด ซึ่งเป็นโจทย์สำคัญที่จะต้องหาทางแก้ต่อไป
“แม้การพิมพ์สลากเพิ่มเป็นการแก้ปัญหาระยะสั้นเท่านั้น เพราะโควต้าองค์กร มูลนิธิยังคงอยู่ในระบบ แม้ว่าการทำงานของบอร์ดชุดนี้จะพยายามทลายระบบนี้ลง แต่เป้าหมายหลักของการมีสลากคือหาเงินส่งเข้ารัฐ ด้วยเหตุนี้ทำให้สำนักงานสลากฯยังต้องหาหลักประกันความเสี่ยงในการจำหน่ายสลาก” ผศ.ดร.รัตพงษ์ กล่าวและว่า ทั้งนี้ยังมีข้อกังวลใจคือความไม่แน่นอนทางการเมือง เพราะธุรกิจสลากเป็นธุรกิจที่อิงกับการเมือง ดังนั้นควร กระจายสลากอย่างเป็นธรรมไปตามโครงสร้างการค้าสลาก โดยต้องถึงมือผู้ค้าสลากรายย่อยให้มากที่สุดรวมถึงรายได้จากการจำหน่ายสลากควรนำไปช่วยเหลือทางสังคม ซึ่งเป็นหลักสากลที่ต่างประเทศทำกันและปกป้องเด็กและเยาวชนในการเข้าถึงสลากก่อนวัยอันควร