เครือข่ายทันตแพทย์ร้องบิ๊กตู่ ยื่น2,000 ชื่อ ปลดล็อกกม.พลังงานนิวเคลียร์ฯ
เครือข่ายทันตแพทย์ร้องบิ๊กตู่ ยื่น2,000รายชื่อ ปลดล็อก กม.พลังงานนิวเคลียร์ฯ ชำแหละพ.ร.บ.ส่อหาช่องทางแสวงหาผลประโยชน์ ชี้ส่งผลเสียพัฒนาทางวิชาชีพไม่เกิดประโยชน์-เพิ่มภาระประชาชน
ผู้สื่อข่าวสำนักข่าวอิศรา(www.isranews.org) รายงานว่า เมื่อวันที่ 9พ.ค. 2560 ที่ศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์ ทำเนียบรัฐบาล ทันตแพทย์สัมฤทธิ์ จิโรจน์วณิชชา ทันตแพทย์เชี่ยวชาญด้านทันตสาธารณสุข นำกลุ่มทันตแพทย์ ผู้ได้รับผลกระทบจากพ.ร.บ.นิวเคลียร์เพื่อสันติพ.ศ.2559 กว่า200คน ซึ่งส่วนใหญ่ได้รวมตัวกันที่สนามม้านางเลิ้ง และส่งตัวแทน40คนเข้ายื่นรายชื่อทันตแพทย์กว่า2,000รายชื่อ พร้อมข้อมูลและข้อเสนอแนะต่างๆ ถึง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรี(ครม.) ผ่านทาง นายพันธ์ศักดิ์ เจริญผู้อำนวยการส่วนประสานมวลชนและองค์กรประชาชนพร้อมทั้งมอบดอกไม้ขอบคุณที่ถอดร่างกฎหมายควบคุมการใช้อุปกรณ์เอ็กซเรย์ฟัน เพื่อนำไปสู่การพิจารณาใหม่ จากนั้นได้เดินทางไปยื่นหนังสือต่อนายอลงกรณ์ พลบุตร รองประธานสภาขับเคลื่อนสภาปฏิรูปประเทศ(สปท.)คนที่1 ที่รัฐสภา ต่อประเด็นดังกล่าวด้วย
ด้านทันตแพทย์สัมฤทธิ์กล่าวว่าเจตนารมย์ของพ.ร.บ.ดังกล่าวคือควบคุมดูแลโรงงานปรมาณูนิวเคลียร์หรือการจำกัดกากขยะปรมาณูแต่สุดท้ายก็มีการสอดไส้เครื่องเอกซเรย์ทันตกรรมฝังเข้าไปด้วยซึ่งพวกเรามองว่าเป็นไปเพื่อการหาช่องทางแสวงหาผลประโยชน์ของกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งซึ่งทำให้ส่งผลกระทบต่อประชาชนในอนาคตทั้งนี้เครื่องเอกซเรย์ที่ใช้ในทันตกรรมเกิดปัญหาน้อยมากๆไม่ต่างอะไรกับการใช้หลอดไฟธรรมดาจึงเป็นที่มาของข้อกังขาว่าทำไมถึงต้องมาควบคุมและรวมเครื่องเอกซเรย์ของหมอฟันเข้าไปด้วยในกฎหมายนี้
“เมื่อเปรียบเทียบกับอาวุธปืนกับหนังสติ้กซึ่งต้องการให้หนังสติ้กขึ้นทะเบียนด้วยเมื่อเรายิงหนังสติ้กออกไปโดยไม่ขึ้นทะเบียนเราก็จะได้รับโทษหนักเท่ากับอาวุธปืนหรือทั้งจำทั้งปรับหมอฟันที่ครอบครองเครื่องเอ็กซเรย์ก็ได้ร้บบทลงโทษรุนแรงซึ่งท้ายที่สุดแล้วกฎหมายฉบับนี้ออกมาประชาชนจะไม่ได้ประโยชน์อะไรวิชาชีพก็ไม่ได้มีการพัฒนาและจะส่งผลในด้านจิตใจทำให้ประชาชนกลัวการเอกซเรย์ของหมอฟันเกิดความระแวงในการทำงาน ประชาชนก็สูญเสียค่าใช้จ่ายทั้งทางตรงทางแฝงซึ่งมันมีแต่เสียประโยชน์กับสิ่งที่จะเกิดขึ้น" นายแพทย์สมฤทธิ์กล่าว
ด้านทันตแพทย์เผด็จ ตั้งงามสกุล แกนนำเครือข่ายทันตอาสา กล่าวว่า กฎหมายดังกล่าวซึ่งมีเจตนาควบคุมปฎิกรปรมาณูขนาดใหญ่ หรืออุตสาหกรรมที่เกี่ยวกับกัมมันตรังสี กำลังสร้างปัญหาในการตีความโดยเฉพาะเรื่องเครื่องเอกซเรย์ขนาดเล็กนั้นคือเครื่องมือเอกซเรย์ทันตกรรมจะถูกเหมารวมควบคุมเข้าไปด้วยในการกำกับดูแลเช่นเดียวกับวัตถุกัมมันตรังสีและวัตถุนิวเคลียร์ที่มีความร้ายแรง ของกระทรวงวิทยฯ ซึ่งที่ผ่านมา เครื่องเอกซเรย์หมอฟันอยู่ภายใต้การดูแลของกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุขอยู่แล้ว
“ขอตั้งข้อสังเกตในเรื่องความไม่ชอบและไม่ชอบมาพากลของกฎหมายดังกล่าวคือ การให้มีเจ้าหน้าที่ความปลอดภัยทางรังสี เพิ่มขึ้นเพื่อดูแลควบคุมเครื่อง ซึ่งในความเป็นจริง ที่มาของเจ้าหน้าที่ คือการเอาไว้ติดตามหลังมีการทดลองปรมานูหรือ นิวเคลียร์ เพื่อติดตามผลกระทบซึ่งไม่มีความจำเป็นสำหรับใช้ในห้องทำฟันที่โดยปกติมีเพียงหมอและผู้ช่วยโดยตัวหมอก็เป็นผู้ดูแลรับผิดชอบทั้งหมดอยู่แล้ว ซึ่งการอ้างเรื่องเพื่อให้เกิดความปลอดภัยสูงสุด หรือควบคุม ถือเป็นเรื่องที่ดีแต่โดยหน้าที่เหล่านี้ควรจะเป็นผู้ติดตามดูแลในอุตสาหกรรมใหญ่ๆ ที่ส่งผลกระทบมากมาย มิใช่เป็นตำแหน่งที่มีไว้ในห้องหมอฟัน และที่ผ่านมาการใช้เครื่องเอกซเรย์เพื่อการวินิจฉัยของหมอฟัน ไม่มีปรากฎว่าคนไข้ได้รับผลกระทบจากสารรังสีเป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาว หรือเยื่อหุ้มสมองอักเสบ ซึ่งไม่มีหลักฐานปรากฎมาเลย" ทันตแพทย์เผด็จ กล่าว
ทันตแพทย์เผด็จ กล่าวต่อว่า ผลที่จะตามมาคือ ประชาชนไม่ได้รับประโยชน์อะไรจากตัว พ.ร.บ.ดังกล่าว และกลายเป็นกฎหมายซ้อนกฎหมาย เพิ่มความยากลำบากให้กับการทำงานของหมอฟัน แล้วประชาชนจะเสียประโยชน์ในการรักษาตามมาตรฐานทางทันตกรรม ภายใต้คำกล่าวอ้างเรื่องความปลอดภัย ซึ่งที่ผ่านมามีมาตรฐานความปลอดภัยรองรับอยู่แล้วในเครื่องเอกซเรย์ที่ใช้ โดยผ่านการตรวจสอบมาตรฐานจากสำนักงานปรมานูเพื่อสันติ(ปส.) ขณะเดียวกันการเขียนกฎหมายควบคุมการครอบครองและการใช้งานเครื่องมือวินิจฉัยทางทันตกรรม ซึ่งมีอันตรายน้อยมาก โดยใช้อัตราโทษทางอาญาที่รุนแรง เช่น จำคุก 5 ปี ปรับ 500,000 บาท หรือ ความผิดตาม พ.ร.บ.จะเป็นแค่ขาดเอกสารจากหน่วยงาน แม้จะตรวจสอบความปลอดภัยและปฎิบัติตามขั้นตอนความปลอดภัยทางรังสีตามหลักวิชาการ ก็จะถูกลงโทษ ซึ่งสุดท้ายจะทำให้ภาระค่าใช้จ่ายแพงขึ้นและเป็นภาระต่อประชาชนขึ้นไปอีก
ทันตแพทย์เผด็จ กล่าวอีกว่า ขอเรียกร้องให้นายกฯดูแลปัญหาดังกล่าวนี้ ซึ่งปริมาณรังสีผลวินิจฉัยทางทันตกรรม มีปริมาณน้อยมากไม่ว่าจะเทียบกับปริมาณรังสีตามธรรมชาติ หรือรังสีทางการแพทย์ ทั้งลักษณะการใช้งาน สามารถวางมาตรการและปฎิบัติเพื่อลดระดับรังสีต่อผู้ป่วย ผู้ปฎิบัติงาน และประชาชนทั่วไปได้อย่างดี มีปริมาณต่ำจนไม่สามารถหาความสัมพันธ์หรือส่งผลกระทบต่อร่างกายในระยะยาวได้ ซึ่งอยากให้นายกรัฐมนตรีในฐานะประธานคณะกรรมการพลังงานนิวเคลียร์เพื่อสันติ ปลดล็อคปัญหาโดยให้อยู่ภายใต้มาตรา18 วัตถุกัมมันตรังสีใดที่ไม่อยู่ภายใต้การควบคุมตามพ.ร.บ.นี้ ให้เป็นไปตามที่กำหนดในกฎกระทรวง และมาตรา 25 ให้นำมาบทบัญญัติในมาตรา 18 ใช้บังคับกำหนดเครื่องกำเนิดรังสีที่ไม่อยู่ภายใต้การควบคุมตามพ.ร.บ.นี้โดยอนุโลม ควบคุมให้อยู่ใน พ.ร.บ.และปฎิบัติงานได้ตามหลักสากล
"ซึ่งมาตราที่ร้องขออยู่ ในหมวด3วัสดุกัมมันตรังสี และเครื่องกำเนิดรังสี สามารถปลดล็อคปัญหาตามมาได้ และควรนำกฎหมายในส่วนทันตกรรมไปใช้ดูแลอุตสาหกรรมที่เกียวข้องกับกัมมันตรังสีหนักเพราะมันส่งผลอันตรายต่อประชาชนอย่างชัดเจน ซึ่งท้ายที่สุดแล้วหากปัญหาไม่ได้รับการแก้ไข เครือข่ายฯ ก็ต้องเข้าสู่กระบวนการศาล เพราะพวกเราไม่มีทางเลือกอย่างอื่น" ทันตแพทย์เผด็จกล่าวและว่าขณะเดียวกันมาตรา77เองก็ระบุชัดเจนว่า การออกกฎหมายใดๆ กำหนดให้รัฐพึงจัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นของผู้ที่เกี่ยวข้อง พร้อมวิเคราะห์ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากกฎหมายอย่างรอบด้านและเป็นระบบรับฟังกฎหมายที่เป็นประโยชน์ ซึ่งพวกเราต้องการอยู่ภายใต้กฎหมายที่ดูแลอย่างเหมาะสม ไม่ใช่กฎหมายซ้อนกฎหมาย ขณะเดียวกันในมาตรฐานสากล หรือเมื่อเทียบกับประเทศอื่น ๆ เช่น เกาหลี หรือสหรัฐฯ ทันตแพทย์สามารถใช้เครื่องเอกซเรย์ได้ โดยไม่ต้องขอใบอนุญาตจากหน่วยงานอื่น โดยให้อยู่ภายใต้การดูแลของกระทรวงสาธารณสุข ไม่ใช่ว่าให้กระทรวงวิทยฯเข้ามาดูแลซึ่งมันไม่ได้ทำให้ประชาชนได้รับความปลอดภัยเพิ่มขึ้น มีแต่ส่งผลกระทบกับประชาชน
ทั้งนี้ พ.ร.บ.พลังงานนิวเคลียร์เพื่อสันติ ซึ่งขณะนี้ พ.ร.บ.ดังกล่าวมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่1ก.พ. รอเพียงในส่วนของการเห็นชอบร่างกฎหมายลูก ประกอบ พ.ร.บ.พลังงานนิวเคลียร์เพื่อสันติ พ.ศ.2559 ตามที่กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเสนอมาเพื่อให้เสร็จสมบูรณ์ ซึ่งก่อนหน้านี้ ได้เสนอมา 7 ฉบับ แต่ถอนไป1ฉบับ คือ ร่างกฎหมายที่เกี่ยวกับหลักเกณฑ์วิธีการเงื่อนไขการขอรับใบอนุญาต เกี่ยวกับเครื่องกำเนิดรังสี ซึ่งยังมีปัญหาเกี่ยวพันกับเรื่องการใช้อุปกรณ์ เอกซเรย์ฟัน เพื่อนำไปสู่การพิจารณาใหม่เมื่อวันที่ 2 เมษายน 2560 ที่ผ่านมา.
อ่านประกอบ
ครม.ถอนร่าง กม.ลูก รับใบอนุญาตเครื่องกำเนิดรังสี 'เอกซเรย์ฟัน'
จัดระเบียบ ‘เครื่อง X-RAY ฟัน’ ทันตเเพทย์รุกต้าน ข้อเสียมากกว่าดี