นักวิชาการทีดีอาร์ไอ แนะรัฐคลำเป้าให้แม่นๆ มาตรการช่วยผู้สูงอายุจึงประสบความสำเร็จ
ดร.สราวุธ ไพฑูรย์พงษ์ นักวิชาการอาวุโส ทีดีอาร์ไอหวั่น มาตรการต่างๆที่รัฐบาลกำลังคิดกำลังทำช่วยเหลือผู้สูงอายุ บางมาตรการ ยังเป็นที่กังขา บางมาตรการเป็นที่สงสัยทำเพื่อใคร หรือทำได้แค่ไหน แนะคลำเป้าให้แม่นๆ จึงจะประสบความสำเร็จ
ดร.สราวุธ ไพฑูรย์พงษ์ นักวิชาการอาวุโส สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) กล่าวถึงมาตรการต่างๆที่รัฐบาลกำลังคิดกำลังทำเพื่อช่วยเหลือผู้สูงอายุ3-4 เดือนที่ผ่านมา บางมาตรการก็ยังเป็นที่กังขา บางมาตรการก็ยังเป็นที่สงสัยของผู้สูงอายุอยู่ว่าจะทำเพื่อใคร หรือทำได้แค่ไหน
“ที่ฮือฮามาก คือ แนวคิดที่กระทรวงการคลัง เตรียมทบทวนยกเลิกจ่ายเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ ให้กับผู้สูงอายุที่มีรายได้เกิน 9 พันบาทต่อเดือน หรือมีทรัพย์สินเกิน 3 ล้านบาท คาดช่วยรัฐประหยัดงบได้กว่าหมื่นล้าน รวมทั้งแนวคิดเพิ่มเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุเป็นรายละ 1,200-1,500 บาท เพื่อให้เหมาะสมกับการครองชีพในปัจจุบัน โดยระหว่างนี้กำลังศึกษารายละเอียด เช่น การระดมเงินทุนจากแหล่งต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ หรือกองทุนสนับสนุนการกีฬา รวมถึงเงินที่ผู้สูงอายุที่มีฐานะดีอยู่แล้วและยอมเสียสละเบี้ยยังชีพคนชราอีกส่วนหนึ่ง จัดตั้งเป็นกองทุนผู้สูงอายุ”
ดร.สราวุธ กล่าวว่า จากการที่ได้ตามข่าว กองทุนผู้สูงอายุจะนำเงินไปเพิ่มเบี้ยยังชีพให้แก่คนชราที่มีประมาณ 10 ล้านคน โดยเฉพาะกลุ่มคนชราที่ยากจน หรือมีรายได้ไม่เกิน 100,000 บาทต่อปี ซึ่งมีอยู่ประมาณ 2,000,000 คน จากการสำรวจตามโครงการลงทะเบียนผู้มีรายได้น้อย ทั้งนี้ เมื่อได้ข้อสรุปที่ชัดเจนหลังการลงทะเบียนผู้มีรายได้น้อยรอบที่ 2 แล้ว ก็จะนำเข้าสู่การพิจารณาของ ครม.
“ตรงนี้ รัฐบาลเริ่มสับสนระหว่างกองทุนที่จะตั้งขึ้นมาเพื่อช่วยเหลือผู้สูงอายุ กับกองทุนผู้สูงอายุที่มีอยู่เดิมและตั้งขึ้นตาม พ.ร.บ.ผู้สูงอายุ พ.ศ.2546 ว่า น่าจะเป็นคนละกองทุนกัน รวมทั้งตัวเลขที่อ้างอิงที่ต่างจากการสำรวจประชากรสูงอายุโดยหน่วยงานของรัฐด้วยกัน”
นักวิชาการอาวุโส ทีดีอาร์ไอ กล่าวว่า ความจริงที่เป็นที่รู้กันในขณะนี้คือประเทศไทยที่ได้เข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ (Ageing Society) ตั้งแต่ปี 2546 โดยมีประชากร อายุ 60 ปีหรือมากกว่าเป็นจำนวน 6.6 ล้านคน คิดเป็นร้อยละ 10 ของประชากรทั้งหมด จากนั้นมา ในปี 2558 จำนวนผู้สูงอายุก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆจนเป็น 10.5 ล้านคน และคิดเป็นร้อยละ 16 ของประชากรทั้งหมด และจะเพิ่มเป็น 14 ล้านคน หรือร้อยละ 20 ในอีก 4 ปีข้างหน้าโดยจะเป็นสังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์ (Aged Society) ในตอนนั้น และจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆเป็น 21 ล้านคนและเป็นสังคมผู้สูงอายุสุดยอด(Super Aged Society) ในอีก 18 ปีข้างหน้า โดยมีผู้สูงอายุคิดเป็นร้อยละ 30 ของประชากรทั้งหมด
“การเปลี่ยนแปลงเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุแต่ละระยะจะมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจของประเทศและสวัสดิการของผู้สูงอายุอย่างไม่ต้องสงสัย ซึ่งต้องชมรัฐบาล คสช.ว่ามีความตื่นตัวเรื่องสังคมผู้สูงอายุมากและมีมาตรการต่างๆออกมารองรับมากมายหลายอย่าง อาทิแผนงานด้านเศรษฐกิจเพื่อรองรับสังคมผู้สูงอายุที่กระทรวงการคลังเสนอและผ่านมติ ครม. ไปเมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน 2559 ขณะนี้ผ่านมากว่า 5 เดือน แผนงานเริ่มเห็นชัดเป็นรูปธรรมมากขึ้น แผนส่งเสริมการจ้างงานผู้สูงอายุ แผนงานสร้างที่พักอาศัยสำหรับผู้สูงอายุ กรมธนารักษ์นำร่องด้วยการนำที่ราชพัสดุให้กลุ่มโรงพยาบาลเช่าในราคาถูก เพื่อทำที่พักอาศัยสำหรับผู้สูงอายุแบบครบวงจร (Senior Complex) แผนด้านสินเชื่อที่อยู่อาศัยสำหรับผู้สูงอายุ (Reverse Mortgage : RM) แผนในเรื่องบำเหน็จบำนาญซึ่งกำลังยกร่างกฎหมายกองทุนบำเหน็จบำนาญแห่งชาติ (กบช.) หรือกองทุนสำรองเลี้ยงชีพภาคบังคับ สำหรับแรงงานอายุตั้งแต่ 15-60 ปี คาดว่าจะเปิดรับสมาชิกในช่วงปี 2561 โดยมีเป้าหมาย คือ ต้องการให้คนหลังเกษียณมีรายได้ต่อเดือน 50% ของเงินเดือนเดือนสุดท้าย และรัฐบาลยังดูแลเรื่องการประกอบอาชีพด้วย รวมทั้งการพยายามเพิ่มจำนวนสมาชิกกองทุนการออมแห่งชาติ เพื่อให้ประชาชนมีเงินออมไว้ใช้ยามเกษียณ แต่รัฐก็น่าจะคลำเป้าให้แม่นๆหน่อย มาตรการต่างๆ จึงจะประสบความสำเร็จ”