โดนอีกคดี‘สุพจน์ ทรัพย์ล้อม’! ป.ป.ช.ชงศาลฎีกาฯซุกบัญชีทรัพย์สิน
อดีตปลัด ก.คมนาคม ‘สุพจน์ ทรัพย์ล้อม’ ถูก ป.ป.ช.ชี้มูลอีกคดีปกปิดบัญชีทรัพย์สิน ส่งศาลฎีกาฯวินิจฉัย นัด 18 พ.ค. ก่อนหน้าโดนยึดรวยผิดปกติ 64.9 ล.
สำนักข่าวอิศรา www.isranews.org รายงานว่า นายสุพจน์ ทรัพย์ล้อม อดีตปลัดกระทรวงคมนาคม ถูกคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (คณะกรรมการ ป.ป.ช.) ชี้มูลอีกหนึ่งคดี กรณีจงใจยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินเป็นเท็จโดยส่งเรื่องให้ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองวินิจฉัยล่าสุดศาลฎีกาฯนัดไต่สวนหรือนัดฟังคำพิพากษาในวันที่ 18 พ.ค.นี้ (คดีหมายเลขดำที่ อม.27/2560)
ก่อนหน้านี้เมื่อ 24 ก.ค. 2555 นายสุพจน์ถูก คณะกรรมการ ป.ป.ช. ชี้มูลในข้อกล่าวหาร่ำรวยผิดปกติ จำนวน 64.7 ล้านบาท และ ส่งเรื่องให้อัยการยื่นคำร้องต่อศาลอาญายึดทรัพย์ตกเป็นของแผ่นดิน กระทั่ง ศาลแพ่งมีคำสั่งให้ทรัพย์สินของ นายสุพจน์ กับพวก ซึ่งเป็นเครือญาติ 7 คน อาทิ เงินสด เงินฝากในธนาคารพาณิชย์ต่างๆ รวม 9 บัญชี เงินฝากในสหกรณ์ออมทรัพย์กรมทางหลวง โฉนดที่ดินย่านต่างๆ ทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด บ้านพัก รถยนต์ ห้องชุด รวมมูลค่าทั้งสิ้น 64,998,587 บาท พร้อมดอกผล ตกเป็นของแผ่นดิน
เมื่อวันที่ 31 ม.ค. 2557 นายสุพจน์ถูกศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาให้ทรัพย์สินตามคำร้องของอัยการสูงสุด 19 รายการ รวมมูลค่าทั้งสิ้น 46,141,038 .83 บาท ของนายสุพจน์ และที่มีชื่อของภรรยา , บุตรสาว และบุตรเขย เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ พร้อมดอกผลที่เกิดขึ้นนั้นตกเป็นของแผ่นดินตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ พ.ศ.2542 โดยให้นายสุพจน์ ส่งมอบทรัพย์สินต่อกระทรวงการคลัง
ศาลเห็นว่าข้อกล่าวอ้างของนายสุพจน์เลื่อนลอย รวมทั้งการโต้แย้งและคัดค้านของนายสุพจน์ไม่อาจจะนำมารับฟังได้ เช่น การอ้างว่าเข้ารับราชการตั้งแต่เมื่อ พ.ศ.2520 จนกระทั่งถึงวันยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินครั้งแรก เมื่อปี พ.ศ.2545 มาคิดคำนวณแล้วจะเป็นเงินประมาณ 5,000,000 บาทเศษ ก็น่าเคลือบแคลงสงสัยมากขึ้นไปกว่าเดิม เพราะเหตุใดนายสุพจน์จึงมีทรัพย์สินที่ได้มาในระหว่างเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ แล้วจะมีทรัพย์สินรวมกันจนถึงวันที่ ป.ป.ช.ลงมติชี้มูลว่าร่ำรวยผิดปกติ มีมูลค่าสูงถึงที่ศาลนำมาวินิจฉัยจำนวน 46 ล้านบาทเศษ ต่อมานายสุพจน์และครอบครัวยื่นอุทธรณ์
11 พ.ย. 2558 ศาลอุทธรณ์ เห็นว่าทรัพย์ตามคำร้องได้มาโดยไม่สมควร สืบเนื่องจากการปฏิบัติหน้าที่และเกิดจากความร่ำรวยผิดปกติ จึงต้องสั่งให้ตกเป็นของแผ่นดิน แต่ที่ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ทรัพย์สินรวม 46,141,038 .83 บาท ตกเป็นของแผ่นดินโดยนำบัญชีเงินฝาก 3 บัญชี ที่ปิดแล้วจำนวน 15,857,548.69 บาท หักออกจากมูลค่าทรัพย์สินที่ อสส.ยื่นคำร้องนั้น ศาลอุทธรณ์ไม่เห็นด้วย เมื่อฟังได้ว่านายสุพจน์ ผู้คัดค้านที่ 1 ร่ำรวยผิดปกติ แม้ภายหลังมีการปิดไปแล้วก็ต้องนำเงิน 15,857,548.69 บาท มารวมอยู่ทรัพย์สินที่ร่ำรวยผิดปกติด้วย
ส่วนรถยนต์ยี่ห้อ VOLK SWAGEN มูลค่า 3 ล้านบาทแม้ไม่มีชื่อของนายสุพจน์เป็นเจ้าของ แต่รับฟังได้ว่ามีการมอบรถให้นายสุพจน์ใช้อย่างถาวร จึงเป็นทรัพย์สินของผู้คัดค้านที่ 1 ซึ่งเกิดจากการร่ำรวยผิดปกติด้วย เมื่อนำทรัพย์สินดังกล่าวกับมูลค่าทรัพย์สินที่ศาลชั้นต้นพิพากษาแล้ว จะรวมเป็นมูลค่าทั้งสิ้น 64,998,587.52 บาท อุทธรณ์ผู้คัดค้านฟังไม่ขึ้น จึงพิพากษาแก้เป็นว่าให้รถยนต์ยี่ห้อ VOLK SWAGEN มูลค่า 3 ล้านบาท รวมเข้ากับทรัพย์สินอื่นตามคำสั่งศาลชั้นต้น รวมมูลค่าทั้งสิ้น 64,998,587.52 บาท ให้ตกเป็นของแผ่นดิน
นอกจากนี้นายสุพจน์ยังมีคดีค้างในชั้นไต่สวนของ ป.ป.ช.กรณีถูกกล่าวหาทุจริตต่อหน้าที่อีกหนึ่งคดี
อ่านประกอบ:
อัพเดท ขรก.รวยผิดปกติ ‘ธาริต’รายที่ 13 ลุ้นอีก 2 ระดับบิ๊ก?
“สุพจน์”ลุ้นอีก! ป.ป.ช.จ่อถกแจ้งข้อหาส่อทุจริต-เรียกรับเงิน ชนวนรวยผิดปกติ
หมายเหตุ: ภาพประกอบจากhttp://news.tlcthai.com/