ดีเอสไอ เตรียมรับ “โกงเงินกู้ยืมศึกษา” เป็นคดีพิเศษ เบื้องต้นพบมีมูล
ดีเอสไอ ชี้ผลสอบเบื้องต้นทุจริตเงินกู้ยืมการศึกษา กยศ.-กรอ. 32 มหา’ลัย มีมูล เหตุเกิดตั้งแต่ปี 49 เชื่อผู้บริหารสถาบันมีเอี่ยว เรียกร้องฝ่ายการเมืองร่วมแก้ไข ด้าน กยศ.เห็นด้วยขยายเป็นคดีพิเศษ
วันที่ 21 ก.พ.55 นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) เปิดเผยความคืบหน้าการตรวจสอบทุจริตกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) และกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษาที่ผูกกับรายได้ในอนาคต (กรอ.)ของมหาวิทยาลัยรัฐและเอกชน 32 แห่งว่าได้มอบหมายให้ พ.ต.ท.พงศ์อินทร์ อินขาว ผบ.สำนักคดีความมั่นคงได้เข้าพบ น.พ.ธาดา มาร์ติน เลขาธิการกองทุน กยศ.และอธิบดีกรมบัญชีกลาง เพื่อขอข้อมูลเกี่ยวกับการเบิกจ่ายเงินกู้ยืมเพื่อการศึกษาของมหาวิทยาลัยต่างๆ ซึ่งทั้งสองหน่วยงานคือ กยศ.และกรมบัญชีกลางได้ยอมรับว่ามีปัญหาการทุจริตเกิดขึ้นจริงและพร้อมจะเข้ามาตรวจสอบร่วมกับดีเอสไอ
นายธาริต กล่าวว่าจุดเริ่มต้นในการตรวจสอบทุจริต เริ่มจากนักเรียนและนักศึกษา 4 คนเข้าร้องทุกข์หลังถูกธนาคารกรุงไทยฟ้องบังคับให้ชำระหนี้ ทั้งที่ไม่เคยเข้าเรียนและทำเรื่องขอกู้ยืมเงิน ดีเอสไอจึงทำการสืบสวนเบื้องต้นพบว่ามีนักศึกษาถูกนำรายชื่อไปใช้ในการกู้ยืมและถูกธนาคารฟ้อง 101 ราย และพบว่านักศึกษาแต่ละรายสามารถใช้สิทธิในการกู้ยืมได้รายละ 80,000-120,000 บาท เชื่อว่าน่าจะมีผู้ได้รับความเสียหายจำนวนมาก
จากปัญหาที่เกิดขึ้นดีเอสไอ อยากให้ฝ่ายการเมืองเข้ามาร่วมแก้ไข เพราะความเสียหายที่ตรวจพบเป็นเพียงปลายเหตุ เชื่อว่าการกระทำความผิดในลักษณะนี้เกิดขึ้นตั้งแต่ภาคเรียนแรกที่นักศึกษาเข้าสมัครเรียนในมหาวิทยาลัย เนื่องจากการอนมุติเงินกู้จาก กยศ.เป็นการจ่ายตรงให้กับมหาวิทยาลัยและวิทยาลัยและให้กู้กับนักศึกษาทุกชั้นปี อย่างไรก็ตามเชื่อว่าการกระทำครั้งนี้น่าจะมีผู้บริหารระดับสูงของมหาวิทยาลัยและข้าราชการเข้าไปเกี่ยวข้อง เพราะทุกภาคเรียนใหม่ มหาวิทยาลัยและวิทยาลัยมักจะส่งเจ้าหน้าที่ออกไปชักชวนและทำการประชาสัมพันธ์ให้เด็กในระดับมัธยมศึกษาตอนปลายเข้าเรียนตามสถาบันการศึกษาต่างๆโดยอ้างว่าสามารถใช้สิทธิกู้เงินเรียนได้จนจบชั้นอุดมศึกษา
ก่อนหน้านี้ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง เลขาธิการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งรองปลัดกระทรวงยุติธรรม เคยได้รับเรื่องร้องเรียนจากกลุ่มเยาวชนจากจังหวัดชายแดนใต้กว่า 60 รายที่ตกเป็นหนี้กองทุน กยศ. โดยให้ข้อมูลว่า ถูกแอบอ้างชื่อเข้าเรียนในสถาบันเทคโนโลยีแห่งอโยธยา จ.พระนครศรีอยุธยา และมีชื่อกู้เงิน กยศ.โดยที่ไม่ได้เรียนจริง หรือเรียนแค่เทอมเดียวก็ไม่ได้เรียนต่อ เพราะหลักสูตรพยาบาลที่มหาวิทยาลัยอ้างว่าเปิดสอนนั้นไม่ได้เปิดจริง แต่ถูกเรียกเก็บเงินจากธนาคารกรุงไทยเฉลี่ยรายละ 80,000-100,000 บาท นอกจากนี้ยังมีนักเรียนโรงเรียนสมบูรณ์ศาสน์อิสลาม อ.ปะนาเระ จ.ปัตตานี จำนวนหนึ่งร้องเรียนเรื่องดังกล่าวมายัง กยศ.ในปี 2550 และคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ และดีเอสไอด้วยเช่นกัน
ด้าน รศ.นพ. ธาดา มาร์ติน ผู้จัดการ กยศ. กล่าวว่ากองทุนอยู่ระหว่างติดตามทวงถามเงินคืนและสืบหาข้อเท็จจริงในเรื่องนี้อยู่แล้ว โดยก่อนหน้านี้เจ้าหน้าที่ดีเอสไอได้มาประสานมายังกองทุนด้วย สำหรับกรณีที่มีนักศึกษา 101 รายร้องเรียนว่าสถานศึกษานำชื่อไปแอบอ้างกู้ยืมเงิน กรอ. นั้นหลังจากกองทุนฯ ได้รับเรื่องร้องเรียนก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ ได้ทำหนังสือติดตามให้สถานศึกษาตรวจสอบข้อเท็จจริงเพื่อยืนยันการขอรับทุนของผู้ร้องแต่ละราย หากไม่มีหลักฐานสถานศึกษาจะไม่มีสิทธิ์เก็บค่าเล่าเรียนและจะต้องชดใช้เงินคืนให้แก่กองทุนฯ ส่วนสถานศึกษาที่ถูกร้องเรียน 32 แห่งนั้นจากการตรวจสอบตั้งแต่ปี 2554 ที่ผ่านมาพบว่าเป็นเงินโอนในส่วนของผู้ร้องเรียน 5,289,375 บาท ซึ่งได้มีสถานศึกษาส่งเงินคืนกองทุนฯ เพื่อชดใช้หนี้แทนนักศึกษาแล้ว 70 ราย 3,265,850 บาท
นพ.ธาดา กล่าวว่าหากพบว่าสถานศึกษากระทำผิดจริงก็จะมีการดำเนินการตามระเบียบกองทุนฯ ได้แก่ การเพิกถอนอำนาจการดำเนินงานสถานศึกษา ส่วนกรณีที่ทางดีเอสไออยู่ระหว่างพิจารณารับเรื่องนี้เป็นคดีพิเศษเพื่อขยายผลการสอบสวนนั้นตนเห็นว่าเป็นเรื่องที่ดีและช่วยกองทุนฯในการติดตามให้สถานศึกษานำเงินมาคืน เนื่องจากกองทุนฯ เป็นหน่วยงานที่ให้โอกาสทางการศึกษา แต่ไม่มีอำนาจโดยตรงในการลงโทษนอกจากจะเป็นการดำเนินการตามกฏหมายที่เกี่ยวข้อง
ผู้จัดการกองทุนฯ ชี้แจงว่ากองทุน กรอ. ได้เปิดให้กู้ยืมเป็นครั้งแรกในปี 2549 มีผู้กู้ยืมกว่า 315,000 ราย รวมเป็นเงินกู้ยืมประมาณ 4,000 ล้านบาท ซึ่งวิธีการดำเนินงานกองทุนฯ ได้มอบอำนาจให้สถานศึกษาดำเนินการคัดเลือกนักศึกษาให้ได้รับสิทธิ์กู้ยืม สถานศึกษาที่เข้าร่วมโครงการ กรอ. จะส่งรายชื่อนักศึกษาและข้อมูลการลงทะเบียนให้กองทุนฯ จึงโอนเงินให้สถานศึกษา ซึ่งสถานศึกษาส่วนใหญ่ปฎิบัติถูกต้องตามหลักเกณฑ์ที่กำหนด .
ที่มาภาพ : http://tnews.teenee.com/politic/75970.html
http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9540000148706