จุดอ่อนของนโยบายรักษาฉุกเฉินวิกฤติฟรี 72 ชั่วโมงแรก (1): ภาษาคน
"กลุ่มอาการฉุกเฉินวิกฤติ หลักๆ มี 6 กลุ่ม คือ 1.หมดสติ ไม่รู้สึกตัว ไม่หายใจ 2.หายใจเร็ว หอบเหนื่อยรุนแรง หายใจติดขัดมีเสียงดัง 3.ซึมลง เหงื่อแตก ตัวเย็น หรือมีอาการชักร่วม 4.เจ็บหน้าอกเฉียบพลัน รุนแรง 5.แขนขาอ่อนแรงครึ่งซีก พูดไม่ชัด แบบปัจจุบันทันด่วน หรือชักต่อเนื่องไม่หยุด และ 6.หรือมีอาการอื่นร่วม ที่มีผลต่อการหายใจระบบการไหลเวียนโลหิต และระบบสมองที่อาจเป็นอันตรายต่อชีวิต..."
คนธรรมดาอ่านแล้วคงเข้าใจว่าหากมีอาการใดๆ ที่เป็น "ลักษณะ" นี้คงวิกฤติแน่ๆ
ภาษาไทยต้องใช้สื่อสารอย่างชัดเจน ไม่ใช่ละทิ้งไว้ในฐานที่เข้าใจเอาเอง ตัวใครตัวมัน บุคลากรทางการแพทย์ตีความแบบนึง ประชาชนตีความแบบนึง สามกองทุนถือเงินเพื่อเบิกจ่ายตีความแบบนึง โอกาสตีกันจน "บาดเจ็บถ้วนหน้า" มีสูงมาก
ยกตัวอย่างเช่น...
"หมดสติ ไม่รู้สึกตัว ไม่หายใจ"...ตกลงแปลว่าต้องมีอาการทั้งสามอย่าง หรืออย่างใดอย่างหนึ่ง
"หมดสติ" และ "ไม่รู้สึกตัว"...ตกลงเหมือนอาการเป็นลมไหม เรียกไม่ตอบสนองใช่ไหม หรือต้องกระตุ้นด้วยความเจ็บปวดเช่นกดยอดอกเพื่อดูการขยับเคลื่อนไหว หรือเสียงร้อง
"ซึมลง เหงื่อแตก ตัวเย็น หรือมีอาการชักร่วม"...ตกลงเขียนให้เข้าใจว่า "หรือ" นั้นมีผลต่อทั้ง 4 อาการ แปลว่ามีอาการใดก็ได้ก็ถือว่าวิกฤติใช่ไหม? หากเป็นเช่นนั้น จำนวนผู้ป่วยวิกฤตคงมากมายมหาศาลตามอาการที่นำส่ง แต่สุดท้ายจะเกิดปัญหาทะเลาะเบาะแว้งระหว่างคนไข้และญาติกับบุคลากรทางการแพทย์ เพราะส่วนใหญ่ไม่ได้วิกฤติจริง แถมตามมาด้วยเรื่องค่าใช้จ่ายที่ต้องหาแพะรับบาป
การจะให้ call center เป็นตัวตัดสินนั้น บ่งบอกได้ดีว่านี่เป็นหนทางพัฒนาระบบสุขภาพที่คิดจากหอคอยงาช้าง ไม่เข้าใจการทำงานหน้างาน ไม่มองคนเป็นคน และฝืนธรรมชาติอย่างร้ายกาจ
ดังนั้นหากคิดจะประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนและผู้เกี่ยวข้องกลุ่มต่างๆ รับทราบ และปฏิบัติได้อย่างถูกต้อง ก็จำเป็นที่จะเลือกใช้ภาษาที่ชัดเจน เข้าใจได้ตรงกัน ไม่ลักลั่น เกณฑ์แต่ละข้อต้องชัด และหากเกณฑ์ข้อไหนแปลได้หลายทาง ควรจับมาขมวดไว้ในข้อพ่วงท้ายที่ให้พิจารณาโดยบุคลากรทางการแพทย์ที่มีบทบาทหน้าที่หน้างาน
ที่ประกาศออกมาอย่างรีบร้อนไปแล้วนั้น เป็นไปในลักษณะของนโยบายกึ่งประชานิยมกึ่งแทงกั๊กแบบจะประหยัดเงิน แต่มองไม่รอบด้าน แปลอีกนัยหนึ่งคือ จะครอบคลุมก็กลัวตามจ่ายโรงพยาบาลต่างๆ ไม่ไหว จะเขียนน้อยๆ ก็กลัวโดนโห่
ถ้ารักประชาชน ต้องทำให้รอบคอบกว่านี้ได้ครับ เพราะเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับชีวิตคน!!!
ภาพประกอบจาก : www.consumerthai.org