ป่วยฉุกเฉิน...ทำอย่างไรไม่ตาย ไม่เป็นหนี้ และไม่ทะเลาะกัน
"...วอนหากโครงการเจ็บป่วยฉุกเฉินวิกฤตมีสิทธิทุกที่ เกิดข้อผิดพลาดในระยะแรกอย่าเพิ่งกล่าวโทษกัน ชี้เป็นเรื่องใหม่และจะทำให้คนทำงานเสียกำลังใจ ควรติเพื่อก่อและร่วมสนับสนุนให้ระบบเกิดความยั่งยืน..."
เริ่มตั้งแต่ 1 เมษายนเป็นต้นไป หากไม่มีการเตรียมพร้อมรับมือผลกระทบจากนโยบายอย่างถี่ถ้วน เราจะต้องเผชิญกับปรากฏการณ์ต่างๆ ที่จะมีโอกาสเกิดขึ้นไม่ช้าก็เร็ว ดังนี้
1. ความบาดหมาง และข้อพิพาท จากการตีความภาวะเจ็บป่วยวิกฤติ ระหว่าง "คนไข้และญาติ" กับ "โรงพยาบาลและบุคลากรทางการแพทย์"
2. การช่วงชิงโอกาสหาประโยชน์จากกระบวนการขนส่งผู้ป่วยทั้งสังกัดรัฐ เอกชน และมูลนิธิ
3. ปัญหาเรื่องมาตรฐานของการดูแลรักษา วัสดุอุปกรณ์ทางการแพทย์ และเทคโนโลยีที่จะถูกเลือกใช้ใน "หน้างานจริง"
4. อัตราตายและพิการที่สูงขึ้นจากการรอส่งต่อทั้งจากเอกชนสู่รัฐ รัฐสู่รัฐ หรือระหว่างเอกชนด้วยกันเอง
5. หนี้นอกระบบ จากการเต็มใจยินยอม หลงเชื่อ หรือไม่ยินยอมแต่ไร้ทางเลือก อันเป็นผลจากความกลัวตายของคนไข้และ/หรือญาติ
6. อัตราการร้องเรียนไปยังหน่วยงานต่างๆ รวมถึงการฟ้องร้องจะเพิ่มขึ้นอย่างคาดไม่ถึง
7. ภาระทางกาย ทางใจ และทางกฎหมาย จะถาโถมมาสู่บุคลากรในโรงเรียนแพทย์ และรพ.รัฐ
8. ภาวะวิกฤติทางการเงินจะรุนแรงอย่างมากในโรงเรียนแพทย์และรพ.รัฐขนาดใหญ่
9. ธุรกิจบริการช่วยฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายในกรณีฉุกเฉินจะผุดขึ้นเป็นดอกเห็ด และตามมาด้วยการขยายตัวอย่างหยุดไม่อยู่ของธุรกิจประกันทั้งต่อประชาชนและบุคลากรทางการแพทย์
10. การเรียกร้องปฏิรูประบบสุขภาพรอบที่ 3 จนเกิดการมัดคอบุคลากรภาครัฐในการทำประกันเสริมแม้จะอยู่ภายใต้ความคุ้มครองของต้นสังกัด ควบคู่ไปกับการร่วมจ่ายของประชาชนทุกสถานภาพ ท่ามกลางวิกฤติศรัทธาและความหวาดระแวงระหว่างกัน
ไม่ได้ติเพื่อทำลาย แต่ติเพื่อก่อ
นโยบายสาธารณะนั้น โดยธรรมชาติแล้วอำนาจทั้งหลายจะอยู่ในมือผู้สร้างและขับเคลื่อนนโยบายเฉพาะช่วงก่อนประกาศสู่สาธารณะ แต่หลังประกาศไปแล้ว อำนาจต่างๆ จะถดถอยลง และถ่ายโอนไปสู่สังคม ที่ยากนักที่กลุ่มผู้สร้างนโยบายจะไปจัดการได้
โดยเนื้อแท้แล้ว นโยบายนี้ฝืนธรรมชาติ เพราะบังคับทำทุกคนทุกที่ มีทั้งเต็มใจและไม่เต็มใจ ภายใต้ทรัพยากรในระบบที่จำกัดและรูปแบบการจัดการแบบเสื้อตัวเดียวใส่ได้ทุกคน โดยรู้ทั้งรู้ว่าจะเกิดผลไม่พึงประสงค์ต่างๆ ตามมา
นโยบายวิกฤติเข้าได้ทุกที่ดีทุกสิทธินั้นไม่สามารถทำให้เกิดอย่างมีประสิทธิภาพในโลกแห่งความเป็นจริงครับ
สำหรับฝั่งรัฐนั้น จะกลับลำตอนนี้ก้ไม่ทันแล้ว เหลือที่พอจะช่วยได้คือ จงรีบระดมสรรพกำลัง และเปิดช่องทางให้คนจากทุกภาคส่วนมาช่วยกันสร้างกลไกจัดการปัญหา 10 ประการข้างต้นเถอะครับ!!! ไม่ควรคิดเอง เออเอง ทำเอง แบบที่ผ่านมาเพราะถือว่าข้าถือกฎระเบียบ และถือเงิน แต่ไม่แคร์คำบอกกล่าวเล่าแจ้งจากคนนอกและนักวิชาการ
เอาใจช่วย...
ในขณะเดียวกัน ฝั่งประชาชนก็ควรรู้เท่าทัน และเตรียมตัวรับมือกับภาวะฉุกเฉิน ไม่หลงระเริงว่ามีนโยบายนี้ออกมาแล้วจะสบายใจได้จริง การเจ็บป่วยไม่เข้าใครออกใคร จะเป็นเบาเป็นหนัก บาดเจ็บเล็กน้อยหรือสาหัส ล้วนเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ทุกเวลาในสังคมปัจจุบันที่มีความเสี่ยงในการใช้ชีวิตมากขึ้นทุกที
ขณะที่กำลังแข็งแรงดี ทำงานได้ ควรเก็บออมเงินไว้บางส่วนเพื่อใช้ยามฉุกเฉินทั้งสำหรับตนเองและครอบครัว เพราะหลายครั้งหลักประกันสุขภาพของภาครัฐและของเอกชนนั้นอาจไม่ครอบคลุม หรือภาวะเจ็บป่วยที่เราเป็นนั้นไม่อยู่ในข่ายที่เบิกได้
ถามว่าต้องกันเงินไว้เท่าไหร่ เพื่อใช้จ่ายยามป่วยฉุกเฉิน ตัวเลขกลมๆ โดยคร่าวคือราว 20,000-200,000 บาท น่าจะพอช่วยให้หายใจได้ยามหน้าสิ่วหน้าขวานข้างต้น โดยไม่ทำให้เราต้องบากหน้าไปกู้หนื้ยืมสินจากเพื่อนพี่น้องหรือจากนอกระบบจนเป็นภาระระยะยาว
ระลึกไว้เสมอว่าโรงพยาบาลรัฐนั้นค่าใช้จ่ายโดยรวมจะน้อยกว่าเอกชนอย่างมาก ดังนั้นหากเจ็บป่วยแล้วไม่มีเงินถุงเงินถัง ไม่มีกำลังจ่าย ถึงแม้จะมีการซื้อประกันไว้บ้าง ยามฉุกเฉินค่าใช้จ่ายอาจบานปลายจนหยุดไม่อยู่ หากมุ่งไปที่รพ.เอกชน ก็จำเป็นต้องเตรียมรับมือกับค่าใช้จ่ายที่งอกออกมาและอาจต้องรับผิดชอบเอง แม้รัฐจะประกาศว่ารับผิดชอบ 72 ชั่วโมงแรก แต่การย้ายออกไปนั้นมีอุปสรรคหลายด่านที่ต้องฝ่าฟัน ทางที่เหมาะสมในสถานการณ์แบบนี้คือ ไปรับการดูแลที่โรงพยาบาลรัฐจะดีกว่า
พ่วงท้ายสำหรับกลุ่มผู้หวังดีแต่ประสงค์ร้าย หรือคิดจะฉวยโอกาสหาประโยชน์จากนโยบายที่ยังไม่สมบูรณ์ว่า การหากินกับความเจ็บป่วยของคน ไม่ว่าจะเรื่องการเลือกขนส่งไปที่ที่ให้เงินหรือของรางวัลตอบแทน ตลอดจนการยุยงให้เกิดการฟ้องร้องโดยไม่จำเป็นเพื่อหวังส่วนแบ่ง หรือในรูปแบบอื่นๆ ที่เราเคยได้รับรู้กันมาตลอดนั้น...เป็นบาปหนักนะครับ อย่าทำเลย ช่วยเหลือคนด้วยเจตนาที่ดี ไม่มีประโยชน์แอบแฝง จะเป็นสุขทั้งต่อตัวท่านและต่อผู้อื่น
ด้วยรักต่อทุกคน
ผศ.นพ.ธีระ วรธนารัตน์
สำนักงานวิจัยและพัฒนาเพื่อการแปรงานวิจัยสุขภาพสู่การปฏิบัติ
ภาควิชาเวชศาสตร์ป้องกันและสังคม
คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
1 เมษายน 2560