สนง.สถิติฯ พบเด็กอายุต่ำกว่า 17 ปี 3 ล้านคน ไม่ได้อยู่กับพ่อแม่ เยอะสุดที่ภาคอีสาน
รมว.ดีอี เตรียมใช้แผนเทคโนโลยีลดความเหลื่อมล้ำและสร้างรายได้ ยูนิเซฟชี้ความเหลื่อมล้ำเป็นเรื่องที่ต้องแก้ไขอย่างเร่งด่วน กระตุ้นให้รัฐลงทุนกับเด็ก เพื่อส่งผลดีกับประเทศชาติอย่างมหาศาล
วันที่ 27 มี.ค.สำนักงานสถิติแห่งชาติ ร่วมกับองค์การยูนิเซฟ นำเสนอผลสำรวจล่าสุดเกี่ยวกับสถานการณ์เด็กและสตรีในประเทศไทย ณ โรงแรมเซ็นทาราแกรนด์ เซ็นทรัลลาดพร้าว
ดร.พิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กล่าวถึงวาระการขับเคลื่อนการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อลดความเหลื่อมล้ำ สร้างรายได้ ยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนทั้วประเทศ เรื่องความเหลื่อมล้ำเป็นเรื่องสำคัญมากที่จะต้องทำให้อยู่มาตรฐานโลก ซึ่งประเทศทั่วโลกมีเกณฑ์หลักคือเกณฑ์ที่ทางยูนิเซฟได้กำหนดไว้เป็นมาตรฐาน ซึ่งผลการสำรวจครั้งนี้เป็นรอบที่ 5 ของโลกและเป็นรอบที่ 3 ของประเทศไทย โดยจะสำรวจทุกๆ 2 ปีต่อ1 รอบ ฉะนั้นครั้งต่อไปอยากให้สำนักงานสถิติแห่งชาติทำกราฟ 6-8 ปี ข้างหน้า เพื่อมาเทียบว่า ประเทศไทยนั้นมีผลสำรวจที่ดีขึ้นหรือไม่
ดร.พิเชฐ กล่าวถึงผลสำรวจเรื่องของการศึกษาของไทยอยู่ในทิศทางที่ค่อนข้างดี เรื่องของการดื่มน้ำสะอาดมีแนวโน้มที่ดี เรื่องของการลดความเสี่ยงการส่งต่อโรค HIV จากแม่สู่ลูก ประเทศไทยอยู่เป็นอันดับ 2 ของโลก ถือเป็นเรื่องที่ดีที่ประเทศไทยจะมุ่งมั่นและพัฒนาต่อไป
"ตัวเลขสถิติบางตัวต้องเทียบกับช่วงปีที่ผ่านมาหรือตัวเลขบางตัวจำเป็นต้องเทียบกับค่าเฉลี่ยของโลกจะได้รู้ว่าประเทศไทยอยู่ตรงไหน สถิติต่างๆที่เห็นหลายครั้งต้องเอาร้อยไปลบไม่เช่นนั้นจะได้ข้อมูลเพียงด้านเดียว เช่น ถ้าบอกว่า 4.2% เราลืมที่จะบอกว่าประเทศไทยสุดยอดทำได้ตั้ง 9.5% เพราะต้องการกำลังใจในการทำงาน "
ด้านนางนวลนภา ธนศักดิ์ รองผอ.การสำนักงานสถิติแห่งชาติ รักษาราชการแทนผอ.การสำนักงานสถิติแห่งชาติ กล่าวถึง ผลสำรวจครั้งนี้จะเป็นการชี้ให้เห็นถึงความเหลื่อมล้ำในด้านอื่น ๆ ของประเทศไทย เช่น เด็กที่อายุต่ำกว่า 5 ปี มีอัตราลดลงอีก ในครัวเรือนที่ยากจนมาก 23% ที่มีหนังสือเด็กอย่างน้อยสามเล่มเมื่อเทียบกับเด็กในครัวเรือนที่ร่ำรวย สำหรับการส่งเสริมการเรียนรู้ของเด็ก
" การทำกิจกรรมร่วมกัน มีพ่อเพียง 1 ใน 3 ที่ร่วมทำกิจกรรมกับลูก โดยสัดส่วนถือว่า ลดลงอีกในครัวเรือนที่ยากจนมาก”นางนวลนภา กล่าว และว่า เรื่องระดับการศึกษาของแม่ พบว่า มีความสัมพันธ์กับสุขภาพ พัฒนาการ และการศึกษาของลูก โดยมีผลสำรวจว่า 24% ของเด็กมีแม่ไม่ได้เข้าศึกษาชั้นมัธยมศึกษา ส่วนเรื่องอัตราการมีบุตรของวัยรุ่นอายุ 15 -19 ปีในประเทศไทย พบว่า อยู่ที่จำนวน 51 คน ต่อ 1,000 คน ทั้งยังพบว่า วัยรุ่นที่มีการศึกษาเพียงชั้นประถมศึกษาจะมีโอกาสกำเนิดบุตรสูงมาก"
รองผอ.การสำนักงานสถิติแห่งชาติ กล่าวถึงด้านการอาศัยของเด็ก พบว่า เด็กอายุต่ำกว่า 17 ปี ประมาณ 1 ใน 5 คน หรือ 3 ล้านคนในประเทศไทยไม่ได้อยู่กับพ่อแม่ ทั้งที่พ่อแม่ยังมีชีวิตอยู่ โดยอัตราสูงสูดอยู่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือและในกลุ่มเด็กที่มีครัวเรือนยากจนมาก
ขณะที่นายโธมัส ดาวิน ผู้แทนองค์การยูนิเซฟ ประเทศไทย กล่าวถึงความเป็นอยู่ของเด็กและสตรีในประเทศไทยได้รับการพัฒนาไปมากในช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมา แต่ในขณะเดียวกัน ผลสำรวจครั้งนี้ได้ตอกย้ำความเป็นอยู่ที่แตกต่างกันของเด็กกลุ่มต่างๆ โดยขึ้นอยู่กับพื้นที่ซึ่งเด็กอาศัยอยู่ ชาติพันธุ์ของเด็ก รายได้ของครอบครัว และระดับการศึกษาของแม่ ความไม่เท่าเทียมกันถือเป็นเรื่องที่ต้องได้รับการแก้ไขอย่างจริงจังและเร่งด่วน โดยเชื่อว่า ประเทศไทยสามารถจัดการเรื่องนี้ได้
“ผลสำรวจชี้ให้เห็นว่า เด็กในชนบทและเด็กในครอบครัวยากจนต้องเผชิญกับเส้นทางชีวิตที่ยากลำบากที่สุดในการเติบโต ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ควรเกิดกับตัวเด็ก เพราะเด็กทุกคนควรได้รับโอกาสที่เท่าเทียมกันในชีวิต”
นายโธมัส กล่าวด้วยว่า ยูนิเซฟมุ่งมั่นและพร้อมให้ความร่วมมือกับทุกภาคส่วนเพื่อพัฒนาระบบบริการทางสังคมตลอดจนนโยบายคุ้มครงทางสังคม เพื่อให้เด็กในประเทศไทยมีโอกาสเท่าเทียมกันในชีวิต ยูนิเซฟทำงานด้านเด็กเป็นหลักจึงอยากจะให้ทุกอย่างที่ทำให้เป็นประโยชน์กับเด็กทุกคนอย่างเต็มที่ โดยขึ้นอยู่กับรัฐบาลจะตั้งเป้าหมายอะไรเป็นเรื่องสำคัญที่สุด เพราะการลงทุนกับเด็กเริ่มต้นจากวัยเด็กจะมีผลในช่วงชีวิตต่อไปอย่างมหาศาลและจะมีผลตอบแทนที่กลับมามหาศาลเช่นกัน
" ถ้าเด็กได้เรียนหนังสือที่ดี ได้อาหารที่ดี มีงานที่ดีทำ สุดท้ายจะได้ภาษีกลับมาที่ตัวเด็กเอง การลงทุนกับเด็กตั้งแต่เริ่มต้นจะส่งผลดีกับประเทศชาติอย่างมหาศาล "