องค์กรสื่อผ่าแผนแม่บทกสทช.พบขัดแนวทางปฏิรูปฯจี้2ปีคืนคลื่นชุมชน
องค์กรวิชาชีพสื่อผ่าแผนแม่บทวิทยุโทรทัศน์ พบขัดเจตนารมณ์ปฏิรูปสื่อ หวั่นวิทยุชุมชนถูกดอง แนะไม่เกิน 2 ปีควรเร่งคืนคลื่น จัดทำข้อเสนอส่งกสทช. 20 ก.พ.นี้
วันที่ 17 ก.พ.55 ศูนย์ศึกษากฎหมายและนโยบายสื่อมวลชน สมาคมนักข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย สภาวิชาชีพข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย ได้จัดประชุมเสวนา ผ่าแผนแม่บทบริหารวิทยุโทรทัศน์ เพื่อหารือและร่วมกันแสดงความคิดเห็นที่มีต่อร่างแผนแม่บทบริหารความถี่ แผนแม่บทบริการกิจการกระจายเสียงและกิจการตามที่ กสทช.กำลังจัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นสาธารณะอยู่ในขณะนี้
ดร.สมเกียรติ ตั้งกิจวาณิชย์ รองประธานสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย(ที่ดีอาร์ไอ) กล่าวว่าที่ประชุมมีความเห็นต่อร่างแผนแม่บททั้งสองแผนโดยภาพรวมยังมีความขัดแย้งกัน เช่น แผนแม่บทคลื่นความถี่กำหนดให้ “กรณีที่มิได้กำหนดอายุการใช้คลื่นความถี่ไว้ กสทช.จะกำหนดเวลาการสิ้นสุด ทั้งนี้ กิจการกระจายเสียงให้มีระยะเวลาสูงสุดไม่เกิน 5 ปี และโทรทัศน์ไม่เกิน 10 ปี” แต่ในแผนแม่บทบริหารกิจการฯ ที่กำหนดให้ ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นของรัฐคืนคลื่นความถี่ กลับกำหนดให้มีการคืนคลื่นความถี่ภายใน 2 ปี และจะพิจารณาให้ได้ใช้ภายใน 3 ปี
นอกจากนี้ ยังไม่มีความครบถ้วน ครอบคลุมสาระสำคัญที่ควรอยู่ในแผน เช่น แผนการปรับเปลี่ยนระบบการออกอากาศวิทยุโทรทัศน์ไปเป็นระบบดิจิตอล ที่ กสทช. แถลงข่าวเมื่อวันที่ 16 ก.พ.ที่ผ่านมานั้น ควรได้รับการบรรจุไว้ในร่างแผนแม่บทด้วยเพราะเป็นรายละเอียดที่สำคัญและควรผ่านกระบวนการรับฟังความคิดเห็นในครั้งนี้ แต่กลับไม่ได้รับการบรรจุไว้ในร่างแผนแม่บทฯดังกล่าว
ด้าน สุวรรณา สมบัติรักษาสุข ประธานสภาวิชาชีพข่าววิทยุและโทรทัศน์ กล่าวว่า การคืนคลื่นความถี่ ควรมีกำหนดระยะเวลาไม่นานเกินไป เพื่อให้เป็นไปตามเจตนารมณ์การปฏิรูปสื่อ และควรเริ่มดำเนินการได้ภายในกำหนดเวลาการปฏิบัติหน้าที่ของ กสทช.ชุดนี้ โดยควรกำหนดระยะเวลาคืนคลื่นในกิจการกระจายเสียงไม่เกิน 2 ปีและกิจการโทรทัศน์ไม่เกิน 4 ปี ซึ่งจะทำให้ปัญหาต่างๆที่รอการแก้ไข เช่น ปัญหาวิทยุชุมชนไม่ถูกละเลยหรือเพิกเฉยต่อไป
นอกจากนี้ยังพบว่า แนวทางการจัดสรรคลื่นความถี่ยังไม่มีความชัดเจนในกรณีที่มีการอนุญาตให้ประกอบกิจการโทรทัศน์ว่า จะมีการอนุญาตให้ใช้เป็น “ช่องรายการ” หรือ “เป็นย่านความถี่” ซึ่งจะทำให้ผู้ประกอบการสามารถนำมาแบ่งเป็นช่องรายการได้อีกหลายช่อง โดยที่ประชุมมีความเห็นว่าควรเป็นการอนุญาตให้ประกอบกิจการในลักษณะเป็น “ช่องรายการ”
การกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการกำกับดูแลด้านเนื้อหารายการ กสทช.ควรมีแนวทางการกำหนดบทบาทหน้าที่ของตนเองเพื่อการกำกับดูแลเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงไว้ให้ชัดเจน
รวมทั้งการส่งเสริมการรวมกลุ่มกันของผู้ประกอบวิชาชีพ ควรมีการจัดทำหลักเกณฑ์เพื่อรองรับไว้ด้วย เช่น ต้องมีการกำหนดเกณฑ์ขั้นต่ำที่พึงประสงค์ในการรวมตัวกันเป็นองค์กรวิชาชีพ ว่าควรมีลักษณะเช่นใด องค์กรวิชาชีพนั้นๆต้องมีกระบวนการรับเรื่องร้องเรียนที่เป็นระบบอย่างไร เมื่อมีการใช้มาตรการใดๆทางจริยธรรมกับองค์กรสมาชิกต้องรายงานและส่งสำนวนการสอบสวนมาประกอบเพื่อให้กสทช.รับทราบด้วย เป็นต้น และควรมีการกำหนดว่าจะมีการจัดทำหลักเกณฑ์การขอรับเงินสนับสนุนจากกองทุนวิจัยและพัฒนาฯเพื่อให้เกิดความโปร่งใสตรวจสอบได้
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่ประชุมยังมีความคิดเห็นในประเด็นความไม่สอดคล้องกันระหว่างร่างแผนทั้งสองแผนกับแนวทางที่ควรจะนำมาปฏิบัติได้จริงอีกหลายประการโดยเห็นร่วมกันว่าจะนำเสนอความคิดเห็นทั้งหมดที่ได้รับจากการประชุมจัดทำเป็นข้อเสนอแนะเพื่อเสนอต่อ กสทช. ในนามสมาคมนักข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทยสภาวิชาชีพข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย ภายในวันที่ 20 ก.พ.ที่จะถึงนี้ เพื่อให้ กสทช.รับไปพิจารณาปรับปรุงร่างแผนแม่บททั้งสองในรายละเอียดต่อไป