หมอมงคล เตือน คสช.อย่าใช้ ม.44 ปล่อยสิทธิบัตรผีดิบ ทำราคายาแพงลิบ
ไปลงพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้เสียหลายวัน มันเป็นการไปเติมน้ำมันให้ตัวเอง ไปดูผลงานลูก ๆ พยาบาล 3,000 คน เยี่ยมคนไข้ และไปชื่นชมผลงานของบุคลากรด้านสาธารณสุขในพื้นที่ หากการไปนั้นจะมีส่วนในการให้กำลังใจคนในพื้นที่บ้าง สำหรับผมแล้ว ได้กำลังใจให้ตัวเองมากกว่า เพราะเมื่อกลับมาดูสถานการณ์บ้านเมือง หลายเรื่องทำให้กำลังกายและกำลังใจเสื่อมถอยมากทีเดียว
หมายเหตุ สำนักข่าวอิศรา www.isranews.org : บทความเรื่อง หมอมงคล เตือน คสช.อย่าใช้ ม.44 ปล่อยสิทธิบัตรผีดิบ ทำราคายาแพงลิบ เป็นเนื้อหาจากเฟซบุ๊กของ นพ.มงคล ณ สงขลา (Mongkol Na Songkhla) โพสต์เมื่อวันที่ 8 มี.ค. 2560
ไม่อยากพูดเรื่องที่สังคมแห่ให้ความสนใจกันอย่างมาก บางทีก็มากจนเกิน จนไปบดบังเรื่องสำคัญ ๆ อีกหลายเรื่อง โดยเฉพาะที่มีข่าวว่า คสช.จะใช้มาตรา 44 ในการเร่งออกสิทธิบัตร อันที่จริง เรื่องนี้สำคัญมาก ๆ ผลกระทบเยอะมาก สื่อมวลชนควรให้ความสนใจนำเสนอข้อมูลเจาะลึกใครได้ผลประโยชน์ ผลกระทบมีมากแค่ไหน เพื่อให้คนในสังคมร่วมติดตาม
สมัยก่อนเป็นแค่หมอบ้านนอก เรื่องสิทธิบัตรยา ก็ไม่ค่อยเข้าใจ สมัยรัฐบาล พล.อ.ชาติชาย ถึงแม้ อ.สำลี ใจดี และ กลุ่มศึกษาปัญหายา จะออกมาคัดค้านที่รัฐบาลสหรัฐฯ กดดันให้ไทยต้องแก้ไข พรบ.สิทธิบัตร เพื่อรับสิทธิบัตรผลิตภัณฑ์ยา โดยส่วนตัวก็เคารพรักงาน อ.สำลี แต่ไม่ได้คิดว่าเรื่องมันใกล้ตัว จนมาถึง ยุค รสช. รัฐบาลคุณอานันท์ ก็ยอมสหรัฐฯ ผ่านกฎหมายให้สิทธิบัตรยา อ.สำลีก็ชวนชมรมแพทย์ชนบท ชมรมเภสัชชนบท คปอส.โครงการเพื่อการสาธารณสุขมูลฐาน ออกมาเดินรณรงค์บอกสังคมว่า ยามันจะแพงแน่ๆ คนจะเข้าไม่ถึงยา จะทำลายอุตสาหกรรมยาในประเทศ เป็นข่าวใหญ่ในปี 36
บอกตรงๆว่าตอนนั้น ยังไม่เชื่อซะทีเดียว แต่เมื่อเวลาผ่านมา สิ่งที่คนทำงานด้านการเข้าถึงยาบอกไว้ก็เป็นจริง
ก่อนปี 35 อุตสาหกรรมยาชื่อสามัญของไทยก้าวหน้ากว่าอินเดียมาก เราใช้ยาในประเทศมาถึง 60%ใช้ยานำเข้า 40% แต่ปัจจุบันเราต้องพึ่งยานำเข้ามากถึง 70% ใช้ยาในประเทศแค่ 30% บริษัทยาในประเทศก็ทยอยล้มหายตายจาก ตอนที่ทำ CL ยังต้องไปนำเข้ายาจากอินเดีย ซึ่งตอนนี้มีศักยภาพผลิตโมเลกุลใหม่ๆ ยาใหม่ๆ ส่งขายทั่วโลกรวมทั้งประเทศรวยๆ ไปจนถึงผลิตวัตถุดิบทางยาส่งขายบริษัทข้ามชาติ
ตอนที่ได้ไปดูโรงงานเพื่อตรวจคุณภาพ ชัดเจนเลยว่า อินเดียได้ใช้ช่วงเวลา 10 กว่าปีก่อนแก้กฎหมายให้สิทธิบัตรยาตาม WTO พัฒนาศักยภาพอุตสาหกรรมยาชื่อสามัญของเขาอย่างเต็มที่ ชัดเจนว่า การให้สิทธิบัตรที่มันเกินไป ให้ง่ายไป มันทั้งทำลายนวัตกรรม อุตสาหกรรม และส่งผลกระทบกับประชาชน
ตอนที่จะประกาศซีแอล ทางทีมงานได้ขอข้อมูลไปทางกรมทรัพย์สินทางปัญญาว่า ยาตัวนี้ๆติดสิทธิบัตรกี่ตัวอะไรบ้าง แต่ทางกรมฯไม่สามารถหาข้อมูลให้ได้ ซึ่งหากรัฐบาลอยากแก้ปัญหาสิทธิบัตร ควรเร่งพัฒนาฐานข้อมูลให้ผู้ที่จะผลิตยาชื่อสามัญจะได้มีข้อมูลเพื่อเตรียมผลิตยาเมื่อใกล้หมดสิทธิบัตร
อย่าไปใช้อำนาจเบ็ดเสร็จเร่งให้เร่งปล่อยผีแบบไม่รอบคอบเลยครับ เพราะถ้ายาที่ติดสิทธิบัตร ได้สิทธิบัตรเพิ่มขึ้นหลายๆตัวจากการปล่อยผีครั้งนี้ ราคายาจะไม่มีทางลดราคาลง ต่อรองก็ไม่ได้ผล ไอ้ยาที่ควรจะถูกลงแล้ว เพราะผูกขาดนานแล้ว ก็จะกลายเป็นเหมือนผีดิบ เพราะได้สิทธิบัตรไปต่ออายุผูกขาดอีก ก็จะเป็นภาระงบประมาณแผ่นดิน ถ้างบไม่พอ สุดท้ายก็ตกหนักประชาชนต้องถูกบังคับร่วมจ่าย
อย่าไปพูดเลยคับว่า ยาได้สิทธิบัตรไม่เกี่ยวกับราคาแพง เพราะมันเกี่ยวพันโดยตรง แค่ผูกขาดผ่านช่วงตรวจสอบคุณภาพที่เรียกว่า SMP อย่างที่เคยเจอกับยาฟลูโคลนาโซล สลึงเดียว บริษัทยาก็ไม่ยอมลด พอเร่งตรวจให้พ้น SMP บริษัทไทยผลิตได้ด้วย จาก 60 กว่าบาท ลดฮวบเหลือเม็ดละไม่ถึง 5 บาท เพิ่งทราบว่า ช่วงนั้นผู้ติดเชื้อฯที่แอฟริกาใต้ตั้งกลุ่มมาซื้อที่ประเทศไทย เพราะที่นั่นขายเดละเป็นพัน ซื้อไปแล้วให้จงใจถูกจับที่สนามบินโจฮันเนสเบิร์กเพื่อประจานการตั้งราคาบ้าเลือดขายผูกขาด
ระบายมายาวเพราะอัดอั้นจริงๆ อยากให้ คสช.คิดให้หนัก ทบทวนให้ดี อย่าพลาดปล่อย 'สิทธิบัตรผีดิบ' ออกมาเพ่นพ่านทำลายสังคมไทยเลย เพิ่มประสิทธิภาพในการตรวจสอบ เอานักวิชาการ นักวิจัย ผู้รู้เข้าไปช่วยกันดู
บ้านเมืองเราเดินมาไกลมากแล้ว
หมายเหตุ : ภาพประกอบจาก www.thaiday.com