บิ๊กตู่ ใช้ ม.44 ตั้งคกก.กำกับจัดซื้อจ้าง-ประเดิม7โครงการรถไฟรางคู่
พล.อ.ประยุทธ์ ใช้ม.44 ออกคำสั่งกำกับการจัดซื้อจ้ดจ้างหน่วยงานรัฐ ตั้งคกก.ดูแล ผู้ทรงคุณวุฒินายกฯแต่งตั้งโดยความเห็นชอบครม.เป็นประธาน ประเดิม7โครงการรถไฟรางคู่
ผู้สื่อข่าวสำนักข่าวอิศรา www.isranews.org รายงานว่า เมื่อวันที่ 23 ก.พ.2560 ราชกิจจานุเบกษา ได้เผยแพร่คําสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 11/2560 เรื่อง การกํากับการจัดซื้อจัดจ้างของหน่วยงานของรัฐ
ระบุว่า ตามที่รัฐบาลได้กําหนดนโยบายที่สําคัญในการบริหารประเทศโดยให้การเพิ่มศักยภาพทางเศรษฐกิจและความสามารถในการแข่งขันของประเทศเป็นเรื่องสําคัญที่ต้องเร่งดําเนินการโดยเฉพาะโครงการลงทุนที่ต้องอาศัยเวลาดําเนินการในระยะยาว แต่ต้องเร่งดําเนินการให้ทันต่อการพัฒนาและความต้องการของประชาชนเพื่อก่อให้เกิดการพัฒนาด้านอื่น ๆ ตามมาอย่างต่อเนื่องโดยเร็ว เช่นการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมและการขนส่งที่มีมูลค่าสูงและต้องใช้เทคโนโลยีทันสมัยแต่ทั้งนี้การดําเนินการทุกขั้นตอนต้องโปร่งใส ตรวจสอบได้ และเป็นไปตามหลักธรรมาภิบาล รวมถึงหลักการและแนวทางของข้อตกลงคุณธรรม จึงจําเป็นต้องกําหนดให้มีกระบวนการกํากับการจัดซื้อจัดจ้างของหน่วยงานของรัฐให้เป็นไปตามหลักการและแนวทางดังกล่าว อันจะนําไปสู่การสร้างความเชื่อมั่นให้แก่นักลงทุนทั้งในและต่างประเทศที่เข้าร่วมในการดําเนินกิจการของรัฐ ส่งเสริมให้มีการแข่งขันอย่างเป็นธรรมและเกิดความไว้วางใจแก่ประชาชน ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการปฏิรูประเบียบบริหารราชการแผ่นดินและส่งผลต่อภาพลักษณ์อันดีของประเทศ โดยเฉพาะในระหว่างรอการบังคับใช้กฎหมายว่าด้วยการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐซึ่งยังต้องใช้เวลาอีกหนึ่งร้อยแปดสิบวันนับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาจึงจะมีผลใช้บังคับอาศัยอํานาจตามความในมาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2557 หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติโดยความเห็นชอบของคณะรักษาความสงบแห่งชาติจึงมีคําสั่ง ดังต่อไปนี้
ข้อ 1 ในคําสั่งนี้
“การจัดซื้อจัดจ้าง” หมายความว่า การดําเนินการเพื่อให้ได้มาซึ่งพัสดุและการพัสดุ
ของหน่วยงานของรัฐที่มีวงเงินตั้งแต่ห้าพันล้านบาทขึ้นไป ตามที่คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้อยู่ภายใต้คําสั่งนี้
“พัสดุ” หมายความว่า พัสดุตามระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. 2535
“การพัสดุ” หมายความว่า การพัสดุตามระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. 2535
“คณะกรรมการ” หมายความว่า คณะกรรมการกํากับการจัดซื้อจัดจ้าง
“หน่วยงานของรัฐ” หมายความว่า ราชการส่วนกลาง ราชการส่วนภูมิภาค ราชการส่วนท้องถิ่นรัฐวิสาหกิจตามกฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณ องค์การมหาชน และสถาบันอุดมศึกษาในกํากับของรัฐ
ข้อ 2 ให้มีคณะกรรมการกํากับการจัดซื้อจัดจ้าง ประกอบด้วย
(1) ผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งนายกรัฐมนตรีแต่งตั้งโดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี เป็นประธานกรรมการ
(2) ผู้อํานวยการสํานักงบประมาณ เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา ผู้อํานวยการ
สํานักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ และอัยการสูงสุด เป็นกรรมการ
(3) ผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งนายกรัฐมนตรีแต่งตั้งโดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี จํานวนไม่เกินสามคนเป็นกรรมการ ทั้งนี้ เพื่อประโยชน์ในการกํากับดูแลการจัดซื้อจัดจ้างของแต่ละโครงการ นายกรัฐมนตรีโดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรีอาจแต่งตั้งผู้ทรงคุณวุฒิจากองค์กรวิชาการหรือวิชาชีพที่เกี่ยวข้องกับโครงการนั้น ๆ เพิ่มขึ้นอีกได้จํานวนไม่เกินสามคน เป็นกรรมการ
(4) อธิบดีกรมบัญชีกลาง เป็นกรรมการและเลขานุการ
ให้อธิบดีกรมบัญชีกลางแต่งตั้งเจ้าหน้าที่ของหน่วยงานของรัฐจํานวนไม่เกินสองคน
เป็นผู้ช่วยเลขานุการการประชุมของคณะกรรมการให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่คณะกรรมการกําหนด
ข้อ 3 ประธานกรรมการตามข้อ 2 (1) และกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิตามข้อ 2 (3)
ให้พิจารณาแต่งตั้งจากผู้ที่มีความรู้ ความเชี่ยวชาญ หรือประสบการณ์ด้านวิศวกรรม สถาปัตยกรรมการเงิน การคลัง การบริหารจัดการ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี หรือด้านอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องและเป็นประโยชน์ต่อการกํากับการจัดซื้อจัดจ้างของหน่วยงานของรัฐ และต้องไม่เป็นข้าราชการการเมืองผู้ดํารงตําแหน่งทางการเมือง สมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น กรรมการหรือผู้ดํารงตําแหน่งอื่นในพรรคการเมือง หรือเจ้าหน้าท่ของพรรคการเมือง การดํารงตําแหน่งและการพ้นจากตําแหน่งของประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิตามวรรคหนึ่ง ให้เป็นไปตามที่นายกรัฐมนตรีกําหนด
ข้อ 4 ประธานกรรมการและกรรมการตามข้อ 2 ต้องไม่เป็นผู้ที่มีส่วนได้เสียทั้งทางตรงและทางอ้อมในโครงการที่จะมีการจัดซื้อจัดจ้างซึ่งตนมีหน้าที่และอํานาจในการกํากับดูแลตามคําสั่งนี้
ทั้งนี้ หากมีกรณีดังกล่าวให้เลขานุการหรือคณะกรรมการรายงานให้นายกรัฐมนตรีทราบ เพื่อวินิจฉัยสั่งการตามที่เห็นสมควร
ข้อ 5 ให้คณะกรรมการมีหน้าที่และอํานาจ ดังต่อไปนี้
(1) กํากับ เร่งรัด ติดตาม และตรวจสอบการจัดซื้อจัดจ้างของหน่วยงานของรัฐ
ตั้งแต่ขั้นตอนการจัดทําแผนการจัดซื้อจัดจ้างจนสิ้นสุดสัญญา ทั้งนี้ ในกรณีที่การจัดซื้อจัดจ้างเป็นไปตามมาตรฐานการจัดซื้อจัดจ้างของรัฐ หรือไม่มีความซับซ้อน หรืออยู่ภายใต้ข้อจํากัดตามกฎหมายหรือระเบียบที่เกี่ยวข้อง คณะกรรมการอาจตรวจสอบการจัดซื้อจัดจ้างเพียงบางส่วนหรือบางขั้นตอนก็ได้
(2) สั่งการให้หน่วยงานของรัฐที่มีการจัดซื้อจัดจ้างกระทําการหรือไม่กระทําการใด ๆหรือดําเนินการจัดซื้อจัดจ้างโดยวิธีการใด เพื่อให้การจัดซื้อจัดจ้างมีความโปร่งใสและเป็นธรรมตามหลักธรรมาภิบาล
(3) รับและพิจารณาข้อร้องเรียนจากภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน รวมทั้งจากผู้สังเกตการณตามข้อตกลงคุณธรรม เกี่ยวกับการปฏิบัติตามกฎหมาย ดังต่อไปนี้
ก. ระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. 2535
ข. ระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการพัสดุด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. 2549
ค. ระเบียบ ข้อบังคับ ประกาศ ข้อบัญญัติ หรือข้อกําหนดใด ๆ เกี่ยวกับพัสดุ
หรือการจัดซื้อจัดจ้างอื่นของหน่วยงานของรัฐที่ไม่อยู่ภายใต้บังคับของระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. 2535 หรือระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการพัสดุด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. 2549
ง. พระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ
พ.ศ. 2542
(4) เร่งรัด ติดตาม และประเมินผลการปฏิบัติตามคําสั่งของคณะกรรมการ
(5) เรียกให้หน่วยงานของรัฐหรือบุคคลอื่นใดที่เกี่ยวข้องมาชี้แจงหรือให้ถ้อยคํา หรือให้ส่งเอกสารหรือหลักฐานที่เกี่ยวข้องเพื่อประกอบการพิจารณา
(6) แต่งตั้งคณะอนุกรรมการหรือคณะทํางานเพื่อช่วยเหลือการปฏิบัติงานได้ตามความจําเป็น
(7) ดําเนินการอื่นใดที่จําเป็นเพื่อประโยชน์ในการกํากับ เร่งรัด ติดตาม และตรวจสอบการจัดซื้อจัดจ้างของหน่วยงานของรัฐ
(8) รายงานผลการดําเนินการตามคําสั่งนี้ต่อนายกรัฐมนตรี
(9) ปฏิบัติงานอื่นใดตามที่นายกรัฐมนตรีหรือคณะรัฐมนตรีมอบหมาย
ในกรณีที่พิจารณาข้อร้องเรียนตาม (3) แล้วรับฟังได้ว่า หน่วยงานของรัฐมิได้ปฏิบัติให้เป็นไปตามกฎหมายหรือระเบียบที่เกี่ยวข้อง หรือมีการกระทําที่ส่อว่าเกิดการทุจริต ให้คณะกรรมการมีอํานาจแจ้งให้สํานักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ สํานักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ สํานักงานการตรวจเงินแผ่นดิน หรือหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องพิจารณาดําเนินการตามหน้าที่และอํานาจ หรือคณะกรรมการจะแจ้งหรือแนะนําให้หน่วยงานของรัฐที่มีการจัดซื้อจัดจ้างปรับปรุงแก้ไขให้ถูกต้อง ทั้งนี้ ในกรณีที่เห็นว่ามีเหตุจําเป็นจะเสนอแนะให้พิจารณาระงับการดําเนินการบางขั้นตอนไว้ก่อน หรือให้ดําเนินการต่อโดยเริ่มจากขั้นตอนหนึ่งขั้นตอนใดตามที่เห็นสมควรก็ได้
ข้อ 6 เพื่อประโยชน์ในการตรวจสอบการดําเนินโครงการของรัฐที่ใช้งบประมาณ
ในการดําเนินการที่มีวงเงินสูง หรือโครงการของรัฐที่อยู่ในความสนใจของประชาชน นายกรัฐมนตรีอาจมอบหมายให้คณะกรรมการพิจารณาตรวจสอบและให้ข้อเสนอแนะที่เป็นประโยชน์ต่อการดําเนินการโครงการดังกล่าวที่ไม่อยู่ภายใต้บังคับของคําสั่งนี้ได้ ทั้งนี้ ให้หน่วยงานเจ้าของโครงการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องสนับสนุนข้อมูลตามที่คณะกรรมการร้องขอ
ข้อ 7 ให้กรมบัญชีกลางรับผิดชอบงานธุรการและสนับสนุนการทํางานของคณะกรรมการคณะอนุกรรมการ หรือคณะทํางานที่แต่งตั้งขึ้นตามคําสั่งนี้การเบิกจ่ายเบี้ยประชุม ให้เป็นไปตามพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยเบี้ยประชุมกรรมการส่วนค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการดําเนินการอื่น ๆ ที่จําเป็น ให้เบิกจ่ายได้ตามระเบียบของทางราชการโดยเบิกจ่ายจากงบประมาณของกรมบัญชีกลาง
ข้อ 8 ให้โครงการดังต่อไปนี้ และโครงการอื่นตามที่นายกรัฐมนตรีกําหนดซึ่งเป็นโครงการที่อยู่ระหว่างการดําเนินการในวันก่อนวันที่คําสั่งนี้มีผลใช้บังคับ อยู่ภายใต้การกํากับดูแลของคณะกรรมการตามคําสั่งนี้
(1) โครงการก่อสร้างทางคู่ในเส้นทางรถไฟสายชายฝั่งทะเลตะวันออก ช่วงฉะเชิงเทรา -คลองสิบเก้า - แก่งคอย
(2) โครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ ช่วงชุมทางถนนจิระ - ขอนแก่น
(3) โครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ ช่วงมาบกะเบา - ชุมทางถนนจิระ
(4) โครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ ช่วงลพบุรี - ปากน้ำโพ
(5) โครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ ช่วงนครปฐม - หัวหิน
(6) โครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ ช่วงหัวหิน - ประจวบคีรีขันธ์
(7) โครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ ช่วงประจวบคีรีขันธ์ - ชุมพร
ข้อ 9 ในวาระเริ่มแรก ให้นายกรัฐมนตรีเป็นผู้มีอํานาจแต่งตั้งประธานกรรมการและ
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิตามข้อ 2 โดยมิให้นําความในข้อ 3 วรรคหนึ่ง มาใช้บังคับ แล้วแจ้งคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบ
ข้อ 10 ในกรณีที่มีปัญหาเกี่ยวกับการปฏิบัติตามคําสั่งนี้ให้นายกรัฐมนตรีมีอํานาจวินิจฉัยและคําวินิจฉัยให้เป็นที่สุด
ข้อ 11 ในกรณีเห็นสมควรนายกรัฐมนตรีหรือคณะรัฐมนตรีอาจเสนอให้คณะรักษาความสงบแห่งชาติแก้ไขเปลี่ยนแปลงคําสั่งนี้ได้
ข้อ 12 คําสั่งนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
สั่ง ณ วันที่ 23 กุมภาพันธ์ พุทธศักราช 2560
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา
หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ
(ดูคำสั่งต้นฉบับ http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2560/E/057/20.PDF)