ดร. สมเกียรติ แจงไม่ได้มีส่วนร่วมพิจารณาร่าง พ.ร.บ.คุ้มครองสิทธิเสรีภาพสื่อฯ
"คิดว่า ทางออกในเรื่องนี้ควรเกิดขึ้นจากการหารืออย่างฉันมิตรและเปิดใจกว้างระหว่าง กมธ. ของสปท. และองค์กรสื่อ บนฐานของความเชื่อเรื่องเสรีภาพสื่อ ซึ่งถูกกำกับโดยมาตรฐานจริยธรรมทางวิชาชีพ ไม่ใช่บนฐานความคิดที่รัฐเข้าไปควบคุมสื่อ"
ดร. สมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์ หัวหน้าโครงการวิจัย "การกำกับดูแลสื่อในยุคหลอมรวม" ได้โพสต์ผ่านเฟสบุ๊คส่วนตัว โดยชี้แจ้งเกี่ยวกับเรื่องร่างพ.ร.บ.คุ้มครองสิทธิเสรีภาพส่งเสริมจริยธรรมและมาตรฐานวิชาชีพสื่อมวลชน พ.ศ. ... ที่กำลังเป็นประเด็นปัญหาถกเถียงระหว่าง คณะกรรมาธิการปฏิรูปประเทศด้านสื่อสารมวลชน สภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.) กับองค์กรด้านสื่อ 30 องค์กร
ดร. สมเกียรติ ระบุว่า งานนี้ ทีดีอาร์ไอ ถูกหางเลขด้วย เพราะมีรายงานข่าวในสื่อมวลชนหลายฉบับที่อ้างคำพูดของ ประธานคณะกรรมาธิการ สปท. ว่า “ร่างดังกล่าวได้ผ่านการหารือและการทำประชาพิจารณ์จากผู้เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ)”
ข้อเท็จจริงในเรื่องนี้คือ
1. ดร. สมเกียรติ และนักวิจัยในโครงการ (คุณอิสร์กุล อุณหเกตุ) ได้ไปอธิบายผลการวิจัยเรื่อง “การกำกับดูแลสื่อในยุคหลอมรวม” ซึ่งคณะผู้วิจัยจากทีดีอาร์ไอและคณาจารย์จากคณะนิเทศศาสตร์ จุฬาฯ ให้แก่คณะกรรมาธิการปฏิรูปประเทศด้านสื่อสารมวลชน สภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.) ที่รัฐสภาเมื่อวันที่ 4 เมษายน 2559
2. ดร. สมเกียรติ และทีมวิจัยไม่ได้มีส่วนร่วมในการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.คุ้มครองสิทธิเสรีภาพส่งเสริมจริยธรรมและมาตรฐานวิชาชีพสื่อมวลชน พ.ศ. ... และไม่ได้ร่วมทำประชาพิจารณ์ร่างกฎหมายดังกล่าว (หากมีการทำประชาพิจารณ์) ที่สำคัญ ซึ่งยังไม่ได้เห็นร่างกฎหมายดังกล่าว และไม่ทราบว่าร่างกฎหมายฉบับล่าสุดที่เป็นที่มาของการถกเถียงกันมีเนื้อหาอย่างไร นอกจากที่ได้อ่านในข่าว
3. ข้อเสนอของคณะวิจัยจากทีดีอาร์ไอในส่วนที่เกี่ยวข้องคือ การเสนอให้มีกลไกการกำกับดูแลร่วม (co-regulation) เพื่อหนุนเสริมการกำกับดูแลตนเองของผู้ประกอบการสื่อแต่ละราย (เช่นการพิจารณาเรื่องร้องเรียนของสถานีโทรทัศน์แต่ละช่อง) และการกำกับดูแลกันเอง (self-regulation) โดยองค์กรวิชาชีพสื่อมวลชน เช่นการพิจารณาเรื่องร้องเรียนของสภาวิชาชีพข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย เพราะที่ผ่านมา การกำกับดูแลกันเองโดยองค์กรวิชาชีพสื่อนั้นไม่ค่อยมีประสิทธิผล เพราะผู้ประกอบการเข้าร่วมโดยสมัครใจ และคำตัดสินไม่มีผลผูกพัน
ทั้งนี้ การกำกับดูแลร่วมเป็นการผสมผสานข้อดีของการกำกับดูแลของรัฐ ซึ่งกลไกบังคับใช้มีประสิทธิภาพ เพราะมีบทลงโทษตามกฎหมาย แต่มีข้อเสียมากมาย โดยเฉพาะการเปิดโอกาสให้รัฐแทรกแซงสื่อ กับการกำกับดูแลกันเองขององค์กรวิชาชีพสื่อ ซึ่งมีจุดอ่อนดังกล่าวข้างต้น เพื่อให้สื่อมีมาตรฐานจริยธรรมทางวิชาชีพที่ปฏิบัติได้จริง โดยยังสามารถรักษาความเป็นอิสระของสื่อจากการแทรกแซงของรัฐได้ ซึ่งจะเกิดขึ้นได้หากออกแบบได้ดี ที่สำคัญคือต้องไม่มีตัวแทนภาครัฐเกี่ยวข้อง
แนวทางในการกำกับดูแลร่วมมีหลายวิธี เช่น การให้สภาวิชาชีพวินิจฉัยความถูกผิดด้านจริยธรรม และให้รัฐช่วยบังคับบทลงโทษตามข้อวินิจฉัยให้มีผล ไปจนถึงการให้สื่อกำกับดูแลกันเองเป็นหลัก และเสริมด้วยการกำกับดูแลโดยรัฐ เช่น กสทช. เป็นด่านสุดท้าย หากการกำกับดูแลกันเองไม่มีประสิทธิผล
แต่ละแนวทางมีจุดอ่อนและจุดแข็งที่แตกต่างกัน ทั้งนี้ การกำกับดูแลสื่อเป็นเรื่องละเอียดอ่อน วิธีการที่ใช้และรายละเอียดต่างๆ ที่เกี่ยวข้องจึงเป็นเรื่องที่สำคัญอย่างยิ่ง
"คิดว่า ทางออกในเรื่องนี้ควรเกิดขึ้นจากการหารืออย่างฉันมิตรและเปิดใจกว้างระหว่าง กมธ. ของสปท. และองค์กรสื่อ บนฐานของความเชื่อเรื่องเสรีภาพสื่อ ซึ่งถูกกำกับโดยมาตรฐานจริยธรรมทางวิชาชีพ ไม่ใช่บนฐานความคิดที่รัฐเข้าไปควบคุมสื่อ"
ขอบคุณข่าวจาก : www.facebook.com/Somkiat.Tangkitvanich.page
ขอบคุณภาพจาก : http://tdri.or.th/staff/somkiat-tangkitvanich/