มหา’ลัยท้องถิ่นเผยโพลล์คนชนบทรู้การเมืองมากกว่าคนกรุง
“ม.ขอนแก่น”เผยสถิติคนชนบทรู้การเมืองมากกว่าคนกรุง หนุนช่องทางเข้าถึงอำนาจรัฐ “ม.อุบลฯ”ชูโซเชียลเน็ตเวิร์กขับเคลื่อนประชาสังคม “ม.ราชภัฏยะลา”แนะสร้างศักยภาพผู้นำชุมชน-เคารพอัตลักษณ์ชาวบ้าน
เมื่อเร็วๆนี้ โครงการสะพานเสริมสร้างประชาธิปไตยโดยการสนับสนุนขององค์การusaid สหรัฐอเมริกาได้นำเสนอผลงานวิจัยโครงการสร้างสำนึกพลเมืองส่งเสริมประชาธิปไตยและธรรมาภิบาลในท้องถิ่น ภายใต้แนวคิด บริบทสังคมไทย การมีส่วนร่วมทางการเมือง การเสริมสร้างธรรมาภิบาลและบทบาทภาคประชาสังคม ซึ่งมีมุมมองที่หลากหลายต่อการเมืองการปกครองทั้งระดับชาติ ระดับท้องถิ่นของประชาชนในภูมิภาคของไทย
รศ.ดร.บัวพันธ์ พรหมพักพิง มหาวิทยาลัยขอนแก่น หนึ่งในสถาบันการศึกษาที่เข้าร่วมโครงการดังกล่าวฯ เปิดเผยผลสำรวจความคิดเห็นประชาชนในหัวข้อเรื่องความรู้ ทัศนคติต่อประชาธิปไตย การมีส่วนร่วมทางการเมือง และธรรมาภิบาลท้องถิ่น จาก 1,340 ตัวอย่างแบ่งเป็นชายร้อยละ 41.6 หญิงร้อยละ 58.4 ในพื้นที่จังหวัดขอนแก่นกาฬสินธุ์และมหาสารคาม ว่า การสำรวจความคิดเห็นประชาชนเป็นส่วนหนึ่งของการแสวงหาวิธีการศึกษาทางการเมือง เพื่อร่วมกันหาทางออกของขัดแย้งที่มีอยู่ในสังคมจากกลุ่มคนข้างล่างไม่ใช่ประชาธิปไตยที่สำเร็จรูปมาจากข้างบน
ประชาชนร้อยละ95.2เข้าใจและรับรู้ถึงการเสียสิทธิ์เมื่อไม่ไปเลือกตั้ง ขณะที่ร้อยละ 80.4เข้าใจและรับรู้ถึงอำนาจในการตรวจสอบการกระทำผิดหรือใช้อำนาจมิชอบของนักการเมือง ข้าราชการ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ส่วนร้อยละ 76.3 เข้าใจถึงการมีสิทธิ์เสนอชื่อแก้ไขกฎหมายและร้อยละ 66.0 รับรู้ถึงสิทธิทางการเมืองในรัฐธรรมนูญที่ผู้ชายมีมากกว่าผู้หญิง
ดร.บัวพันธ์ กล่าวต่อว่า ธรรมาภิบาลระดับท้องถิ่นความเห็นต่อการใช้อำนาจรัฐที่สำคัญที่สุด ประชาชนส่วนใหญ่เห็นตรงกันว่าเป็นเรื่องการคอรัปชั่นที่ชาวบ้านในท้องถิ่นเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องทั้งด้านบวกและลบ ไม่ว่าจะเป็นการจ่ายเงินแก่เจ้าหน้าที่เพื่อให้ลูกหรือคนในครอบครัวได้เข้าทำงาน การเสียเงินให้โรงเรียนนอกเหนือจากค่าธรรมเนียมเพื่อให้ลูกได้เข้าโรงเรียน การรับเงินจากนักการเมืองเป็นค่าตอบแทนในการลงคะแนนเสียงในสัดส่วนร้อยละ 16.9-20.0 ขณะเดียวกันมากกว่าร้อยละ 10.5 เคยร้องเรียนความไม่โปร่งใสของหน่วยงานรัฐ ฟ้องเจ้าหน้าที่รัฐและท้องถิ่น ตรวจสอบการดำเนินการโครงการรัฐ และเสนอชื่อถอดถอนผู้บริหารท้องถิ่นหรือหน่วยงานรัฐ
“ความรู้ไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาประชาธิปไตย คนชนบทแม้มีส่วนร่วมทางการเมืองน้อยแต่ก็พบว่าออกเสียงเลือกตั้งมากกว่าคนในเมือง ความแตกต่างระหว่างเมือง ชั้นฐานะค่านิยมทางการเมือง มีนัยสำคัญทางความเหลื่อมล้ำในสังคม การสร้างธรรมาภิบาลในท้องถิ่นควรมุ่งเน้นส่งเสริมให้เกิดพื้นที่สาธารณะในระดับตำบล หมู่บ้านและเมือง เพื่อให้มีการสื่อสารการรับรู้ทางการเมืองที่หลากหลาย ส่งเสริมและพัฒนาช่องทางการมีส่วนร่วมทางการเมืองที่มีความหมายกว้างกว่าการเลือกตั้ง และควรมีการทำวิจัยเรื่องประชาภิบาลท้องถิ่นอย่างจริงจังเพื่อหาช่องทางให้ชาวบ้านเข้าถึงการตรวจสอบอำนาจทุกรูปแบบ” รศ.ดร.บัวพันธ์ กล่าว
ด้านดร.ฐิติพล ภักดีวาณิช มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี กล่าวว่า จากผลการสำรวจความคิดเห็นประชาชนในพื้นที่จังหวัดอุบลราชธานี อำนาจเจริญ ศรีสะเกษ ในประเด็นการมีส่วนร่วมในการปกครองท้องถิ่นพบว่า แม้ประชาชนในท้องถิ่นที่อยู่ห่างไกลจะไม่เข้าใจเรื่องประชาธิปไตย แต่ส่วนใหญ่ให้คามสำคัญเรื่องสิทธิเสรีภาพและความเท่าเทียมในสังคม อีกทั้งก็ไม่ได้เพิกเฉยต่อการตรวจสอบการทำงานของภาครัฐ หากแต่ความกลัวไม่กล้าทำการตรวจสอบกลุ่มอิทธิพลท้องถิ่น อีกทั้งขาดความรู้ในการตรวจสอบและการเข้าไม่ถึงแหล่งข้อมูลทำให้เป็นอุปสรรคที่สำคัญ
“การเสริมสร้างภาวะผู้นำพลเมือง ส่งเสริมหลักพื้นฐานเกี่ยวกับสิทธิหน้าที่ในระบอบประชาธิปไตยจะช่วยให้ประชาชนเข้าใจระบบการทำงานของรัฐและเพิ่มศักยภาพในการตรวจสอบดียิ่งขึ้น อีกทั้งการส่งเสริมให้ประชาชนเข้าถึงสื่อโซเชียลเน็ตเวิร์ก ใช้เทคโนโลยีอินเตอร์เน็ตเป็นเครื่องมือเข้าถึงข้อมูลข่าวสาร เพื่อสร้างพลเมืองที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งสถาบันการศึกษาท้องถิ่นจะมีบทบาทสำคัญในการทำงานตรงนี้ เพื่อให้ภาคประชาสังคมเกิดความเข้มแข็ง สร้างโอกาสของประชาชนในชุมชนที่ไม่จำเป็นต้องรอคอยโครงสร้างอื่นๆจากภาครัฐ”อาจารย์มหาวิทยาลัยอุบลฯ กล่าว
ผศ.เกสรี ลัดเลีย มหาวิทยาลัยราชภัฏยะลา เสนอและสรุปผลสำรวจความคิดเห็นประชาชนในพื้นที่จังหวัดยะลาต่อการรับรู้ของพลเมืองกับการสร้างเสริมประชาธิปไตย ว่าประชาชนในเมืองและชนบทขาดโอกาสในการรับรู้ข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้อง ชัดเจนจากสื่อหรือหน่วยงานของรัฐ เบื่อหน่ายต่อการเมืองในปัจจุบัน ขาดเวทีสาธารณะในการแสดงความคิดเห็นช่องทางการขับเคลื่อนประชาธิปไตย ควรเน้นการพัฒนาศักยภาพผู้นำชุมชนเป็นต้นแบบและเป็นผู้ถ่ายทอด การบูรณาการให้สอดคล้องกับวิถีชีวิตมุสลิม เพื่อให้เป็นประชาธิปไตยที่หลากหลายทางวัฒนธรรม การบังคับใช้กฎหมายโดยคำนึงถึงบริบททางศาสนาอิสลาม
“การส่งเสริมประชาธิปไตยควรรณรงค์ให้ความรู้เรื่องสิทธิพลเมือง ตลอดจนบูรณาการองค์ความรู้ในหลักสูตรสถานศึกษาทุกระดับ การสร้างศักยภาพให้กับผู้นำครอบครัว ชุมชนสามารถใช้รูปแบบประชาธิปไตยเป็นแนวทางในการดำเนินชีวิต แต่ทั้งนี้ภาครัฐต้องเคารพในวิถีชีวิตของประชาชน”ผศ.เกสรี กล่าว