ดร.ประภัสสร์ แนะไทยปรับยุทธศาสตร์ใหม่ทั้งเรื่องการค้า-การลงทุน รับ "ทรัมป์" ปธน.
"ผลกระทบทางตรงคือการที่สหรัฐอเมริกาจะปิดประเทศ ทำให้สินค้าไทยที่จะส่งออกไปขายในประเทศสหรัฐอเมริกาจะมีปัญหาและลำบากมากขึ้น ส่วนทางอ้อม คือ นอกจากจะกีดกันทางค้าจากประเทศไทยแล้วยังกีดกันการค้าจากประเทศจีนและประเทศอื่นๆทั่วโลก ทำให้เกิดผลกระทบเป็นลูกโซ่ เศรษฐกิจโลกจะปั่นป่วน แม้แต่ประเทศจีนก็ได้รับผลกระทบ ซึ่งประเทศไทยก็ทำการค้ากับประเทศจีนอยู่ด้วยตรงนี้ก็ส่งผลเหมือนกัน"
จากกรณีที่นายโดนัลด์ ทรัมป์ เข้าพิธีสาบายรับตำแหน่งประธานาธิบดีคนที่ 45 ของสหรัฐอเมริกา อย่างเป็นทางการ โดยได้เน้นย้ำถึงนโยบายกีดกันทางการค้าระหว่างประเทศ มีแนวโน้มที่เน้นการปฏิรูปและไม่สนับสนุนการเปิดเสรีทางการค้านั้น
รศ.ดร.ประภัสสร์ เทพชาตรี ผู้อำนวยการศูนย์อาเซียน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวกับสำนักข่าวอิศราว่า จากนโยบายกีดกันการค้าของประธานาธิบดีสหรัฐคนใหม่ “โดนัลด์ ทรัมป์” ประเทศไทยจะได้รับผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อม
"ผลกระทบทางตรงคือการที่สหรัฐอเมริกาจะปิดประเทศ ทำให้สินค้าไทยที่จะส่งออกไปขายในประเทศสหรัฐอเมริกาจะมีปัญหาและลำบากมากขึ้น ส่วนทางอ้อม คือ นอกจากจะกีดกันทางค้าจากประเทศไทยแล้วยังกีดกันการค้าจากประเทศจีนและประเทศอื่นๆทั่วโลก ทำให้เกิดผลกระทบเป็นลูกโซ่ เศรษฐกิจโลกจะปั่นป่วน แม้แต่ประเทศจีนก็ได้รับผลกระทบ ซึ่งประเทศไทยก็ทำการค้ากับประเทศจีนอยู่ด้วยตรงนี้ก็ส่งผลเหมือนกัน"
รศ.ดร.ประภัสสร์ กล่าวถึงในส่วนที่ทำให้ไทยได้รับผลกระทบว่า คือโดนัลด์ ทรัมป์จะไม่ให้นักลงทุน ไปลงทุนในต่างประเทศ นโยบายนี้จะส่งผลกระทบกับประเทศไทยโดยตรง เพราะนักลงทุนของสหรัฐอเมริกาได้เข้ามาลงทุนในประเทศไทย และในอนาคตนักลงทุนจากสหรัฐอเมริกาก็จะลดลง
"ประเทศไทยคงมีปัญหากับสหรัฐอเมริกาแน่ ทั้งด้านการค้าและการลงทุน รัฐบาลไทยควรต้องรีบปรับนโยบายใหม่ ปรับยุทธศาสตร์ทั้งเรื่องการค้าและการลงทุน โดยควรจะพึ่งสหรัฐอเมริกาให้น้อยและหันมาให้ความสำคัญกับตลาดของประเทศเพื่อนบ้านและในกลุ่มประเทศอาเซียนให้มากขึ้น" ผู้อำนวยการศูนย์อาเซียน มธ. กล่าว และว่า ในเรื่องการค้าแต่ก่อนสหรัฐอเมริการเป็นการค้าอันดับหนึ่งของไทย 20-30 % แต่ปัจจุบันการค้าระหว่างไทยและสหรัฐอเมริกาเหลือไม่ถึง 10 % จึงน่าจะกระทบกับประเทศไทยไม่มาก