ซุกหนี้ 21.7 ล.!ศาลฎีกาฯฟันอดีต ส.ส.บุรีรัมย์ -ผู้ช่วย รมต.ไม่ยื่นบัญชีทรัพย์สิน
ศาลฎีกาฯฟัน ‘หนูแดง’ อดีต ส.ส.บุรีรัมย์ ซุกหนี้ 21.7 ล.-ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายก ซุกบัญชีทรัพย์สิน พ่วง 14 นักการเมืองท้องถิ่น เว้นวรรค 5 ปี ปรับเงิน 4,000-16,000 บาท จำคุก 1-4 เดือน รอลงโทษจำคุกรวดละ 1 ปี
สำนักข่าวอิศรา www.isranews.org รายงานว่า เมื่อวันที่ 18 ม.ค.2560 สำนักงานศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ได้เผยแพร่คำพิพากษาคดีผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง จงใจไม่ยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินและเอกสารประกอบต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (คณะกรรมการ ป.ป.ช.) ผู้ร้อง ภายในเวลาที่กฎหมายกำหนด รวมทั้งสิ้น 16 คดี พิพากษาให้ผู้คัดค้านมีความผิดทั้งหมด จำนวนนี้เป็นคดีที่ผู้คัดค้านเป็นนักการเมืองระดับชาติ 2 คนคือ
นายหนูแดง วรรณกางซ้าย ส.ส.บุรีรัมย์ จงใจยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สิน พร้อมเอกสารประกอบด้วยข้อความอันเป็นเท็จ หรือปกปิดข้อเท็จจริงที่ควรแจ้งให้ทราบ กรณีกรณีเข้ารับตำแหน่งและพ้นตำแหน่ง ส.ส. แบบแบ่งเขตเลือกตั้ง จ.บุรีรัมย์ (ไม่แสดงเงินกู้ยืม 21.7 ล้านบาท) ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 มาตรา 32 และ 33 ห้ามมิให้ผู้คัดค้านดำรงตำแหน่งทางการเมืองหรือในตำแหน่งใดใดในพรรคการเมืองเป็นเวลาห้าปีนับแต่วันที่ 9 ธ.ค. 2556 ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 มาตรา 34 วรรคสอง กับมีความผิดตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 มาตรา 119 การกระทำของผู้คัดค้านเป็นความผิดหลายกรรมต่างกันให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป จำคุก 2 เดือน และปรับ 8,000 บาท ผู้คัดค้านให้การรับสารภาพ มีประโยชน์ในการพิจารณาคดี มีเหตุให้บรรเทาโทษ ลดโทษกึ่งหนึ่ง ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 78 คงจำคุก 1 เดือน ปรับ 4,000 บาท ไม่ปรากฏว่าผู้คัดค้านได้รับการลงโทษจำคุกมาก่อน ให้รอการลงโทษจำคุกไว้มีกำหนด 1 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 (คดีหมายเลขแดงที่ อม 208 /2559-15 ธ.ค. 2559 )
นายเอกศักดิ์ แดงเดช ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี จงใจไม่ยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สิน และเอกสารประกอบต่อผู้ร้อง ภายในระยะเวลากำหนด กรณีพ้นตำแหน่งมาแล้ว 1 ปีในการดำรงตำแหน่ง กรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี วาระที่สอง ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 มาตรา 40 ประกอบ มาตรา 32 และ 33 ห้ามมิให้ผู้คัดค้านดำรงตำแหน่งเจ้าหน้าที่ของรัฐเฉพาะตำแหน่ง ตามมาตรา 39 และมาตรา 40 เป็นเวลาห้าปีนับแต่วันที่ 17 ก.พ.2554 อันเป็นวันที่ผู้คัดค้านพ้นจากการดำรงตำแหน่งกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี วาระที่ 2 ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 มาตรา 41 กับมีความผิดตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 มาตรา 119 จำคุก 2 เดือน และปรับ 8,000 บาท ผู้คัดค้านให้การรับสารภาพ มีประโยชน์ในการพิจารณาคดี มีเหตุให้บรรเทาโทษ ลดโทษกึ่งหนึ่ง ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 78 คงจำคุก 1 เดือน ปรับ 4,000 บาท ไม่ปรากฏว่าผู้คัดค้านได้รับการลงโทษจำคุกมาก่อน ให้รอการลงโทษจำคุกไว้มีกำหนด 1 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 (คดีหมายเลขแดงที่ อม 218 /2559-19 ธ.ค. 2559 )
ส่วนนักการเมืองท้องถิ่นอีก 14 คนคือ
1.นายจรูญเกียรติ จิรธนบวรมงคล รองนายกอบต.ชนแดน อ.ชนแดน จ.เพชรบูรณ์
2.นายมนัส จีบหีด รองนายกเทศมนตรีตำบล จ.ป.ร. อ.กระบุรี จ.ระนอง
3.นายมนูญ สุทธิวงศ์ ที่ปรึกษานายกเทศเมืองเมืองนาท่อม อ.เมืองพัทลุง จ.พัทลุง
4.นายวีระ ใจธิตา รองนายก เทศมนตรีตำบลออนใต้ อ.สันกำแพง จ.เชียงใหม่
5.นายวัชระพงศ์ วัฒนะ สมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดสตูล (ส.อบจ.สตูล) พัทลุง
6.จ่าสิบตำรวจกัมปนาท เพิ่มสุข รองนายกองค์การบริหารส่วนตำบลคลองขนาก อ.วิเศษชัยชาญ จ.อ่างทอง
7.นายณรงค์ ทิพย์พระเนตร รองนายก อบต.กุดโบสถ์ อ.เสิงสาง จ.นครราชสีมา
8.นายโสภณ บาลี นายก อบต.โพสังโฆ อ.ค่ายบางระจัน จ.สิงห์บุรี
9.นางวดี สุขทอง ที่ปรึกษานายกเทศมนตรีตำบลมะกอกเหนือ อ.ควนขนุน จ.พัทลุง
10.นายกิตติศักดิ์ พรมอ่อน เลขานุการนายก อบต.นาโพธิ์ อ.สุกุมาลย์ จ.สกลนคร
11.นายสุวิชา จิราพงษ์ เลขานุการนายกเทศมนตรีตำบลวังกรด อ.เมืองพิจิตร จ.พิจิตร
12.นางบงกช ตุวานนท สมาชิกสภาเทศบาลนครเชียงใหม่ อ.เมืองเชียงใหม่ จ.เชียงใหม่
13.น.ส.ลักษณ์พรหรือพัสกร ฉัตร์เบญจนนท์ หรือ ซุ่มเจริญ สมาชิกสภาเทศบาลนครเชียงใหม่ อ.เมืองเชียงใหม่ จ.เชียงใหม่
14.นายมงคล อรุณรัตน์ เลขานุการนายกเมศมนตรีตำบลพนาตุง อ.ควนขนุน จ.พัทลุง
ศาลฎีกาฯพิพากษาห้ามดำรงตำแหน่งทางการเมืองเป็นเวลา 5 ปี จำคุกคนละ 1-4 เดือน ปรับ 4,000-16,000 บาท (จำคุกกระทงละ 2 เดือน และปรับกระทงละ 8,000 บาท ขึ้นอยู่กับจำนวนกระทงความผิด ลดโทษกึ่งหนึ่ง) ให้รอการลงโทษจำคุกไว้มีกำหนด 1 ปี