นักเศรษฐศาสตร์ มธ. ชี้นโยบายอัตราดอกเบี้ย ไม่ใช่ยาพารารักษาได้ทุกโรค
นักเศรษฐศาสตร์ มธ. หวั่นดอกเบี้ยขาขึ้น กระทบหนัก 5 อุตสาหกรรมเป้าหมายแนะรัฐงัดมาตรการการเงินหนุนอุตฯ หลักของไทย ขับเคลื่อนเศรษฐกิจภาพรวม
เมื่อวันที่ 19 มกราคม 2560 คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จัดสัมมนาวิชาการคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ประจำปี 2560 ครั้งที่ 39 เรื่องเส้นทางเศรษฐกิจไทยบนความผันผวนของเศรษฐกิจโลก ณ อาคารตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โดยศ.ดร.สกนธ์ วรัญญูวัฒนา คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ มธ.กล่าวเปิดงาน และซาบีห์ อาลี โมฮิบ ผู้แทนจากธนาคารโลก กล่าวปาฐกถาพิเศษเรื่อง “Global Economic Prospect 2017”
ช่วงหนึ่งผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ธีรวุฒิ ศรีพินิจ อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ นำเสนอผลงานวิจัย ผลกระทบของนโยบายการเงินต่อระบบเศรษฐกิจรายภาค และระดับราคาในระดับภูมิภาคของไทย โดยพบว่า นโยบายขึ้นอัตราดอกเบี้ยเป็นนโยบายฝนตกไม่ทั่วฟ้า มีเฉพาะภาคกลางที่ได้รับอานิสงส์จากนโยบายนี้ ส่วนภาคอื่นๆ แทบไม่มีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะภาคใต้
ปัจจุบันคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ธนาคารแห่งประเทศไทย คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ร้อยละ 1.50 ต่อปี ผศ.ดร.ธีรวุฒิ กล่าวว่า ภาพรวมเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มขยายตัวอย่างต่อเนื่อง แต่ในขณะเดียวกันก็ยังคงเผชิญความเสี่ยงด้านต่างประเทศ อาทิ การขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐอเมริกา แนวนโยบายของประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนใหม่ ปัญหาความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ กับจีน และการเมืองในยุโรป ซึ่งอาจส่งผลให้ไทยมีการปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายให้สูงขึ้นในช่วงปลายปี 2560 เพื่อปรับสมดุลและรับมือกับภาวะเงินทุนเคลื่อนย้ายตามความผันผวนของเศรษฐกิจโลก
"หากประเทศไทยมีการปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายให้สูงขึ้น เท่ากับว่าต้นทุนทางการเงินและต้นทุนในการประกอบการอื่นๆ ของภาคเศรษฐกิจจะสูงขึ้นด้วย โดยแต่ละกลุ่มอุตสาหกรรมจะได้รับผลกระทบแตกต่างกันไป"
ซึ่งผลจากงานวิจัย “ผลของนโยบายการเงินต่อระบบเศรษฐกิจ: ฝนตกไม่ทั่วฟ้า” ซึ่งศึกษาผลกระทบของการขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่ออัตราผลตอบแทนในภาคเศรษฐกิจมาเป็นระยะเวลา 24 เดือน พบว่ากลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมาย (S-Curve) อาทิ อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ โลจิสติกส์ เชื้อเพลิงชีวภาพและเคมีชีวภาพ ยานยนต์สมัยใหม่ รวมไปถึงการก่อสร้าง เป็นกลุ่มอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบสูงสุดจากการขึ้นดอกเบี้ย โดยมีอัตราผลตอบแทนการลงทุนติดลบเฉลี่ย 1.098% เนื่องจากเป็นกลุ่มอุตสาหกรรมหลักที่เป็นฐานการผลิตของประเทศ
ในขณะเดียวกันกลุ่มอุตสาหกรรมที่ไม่ได้รับผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญ อาทิ อุตสาหกรรมกระดาษและสิ่งพิมพ์ การท่องเที่ยวและการพักผ่อน การบริการทางการแพทย์ กลุ่มยา และพาณิชยกรรม มีอัตราผลตอบแทนการลงทุนติดลบเฉลี่ยเพียง 0.339% เนื่องจากเป็นกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีความอ่อนไหวต่อภาวะเศรษฐกิจน้อย
ผศ.ดร.ธีรวุฒิ กล่าวถึงผลการศึกษาสะท้อนให้เห็นว่าการใช้เครื่องมือดอกเบี้ยนโยบายเพียงอย่างเดียวไม่สามารถสร้างสมดุลในระบบเศรษฐกิจภาคอุตสาหกรรมได้อย่างมีประสิทธิภาพ ภาครัฐจึงควรดำเนินมาตรการการเงินอื่นๆ ควบคู่ไปกับการปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบาย อาทิ การส่งเสริมการลงทุนผ่านการให้สินเชื่อพิเศษ การลดค่าธรรมเนียมการโอนเงิน-ชำระเงิน ฯลฯ เพื่อเป็นการเหยียบคันเร่งส่งเสริมให้เกิดการลงทุนในระบบเศรษฐกิจ โดยเฉพาะกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมาย (S-Curve) ซึ่งเป็นกลไกขับเคลื่อนเศรษฐกิจเพื่ออนาคตของประเทศ ตามยุทธศาสตร์ประเทศไทย 4.0
"นอกจากผลกระทบในภาคอุตสาหกรรมข้างต้น การปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายยังส่งผลกระทบในแต่ละภูมิภาคของประเทศไทยแตกต่างกันไป อันเนื่องมาจากโครงสร้างทางเศรษฐกิจและความเชื่อมโยงกันทางเศรษฐกิจของแต่ละภูมิภาค โดยผลงานวิจัยระบุว่า การปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายมีประสิทธิภาพในการควบคุมระดับเงินเฟ้อสูงที่สุดในภาคกลาง มีผลอย่างอ่อนๆ ในภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคตะวันออก และไม่มีประสิทธิภาพสำหรับภาคตะวันตก และภาคใต้ เพราะฉะนั้นนอกจากการปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายให้เกิดความสมดุลของเศรษฐกิจในภาพรวมของประเทศแล้ว ภาครัฐควรศึกษาและดำเนินมาตรการการเงินที่สอดคล้องกับกิจกรรม และภาวะทางเศรษฐกิจของแต่ละภูมิภาคไปพร้อมกัน เพื่อสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจในภาพย่อย อันจะสะท้อนกลับมาเป็นเศรษฐกิจในภาพใหญ่ที่ยั่งยืน" ผศ.ดร.ธีรวุฒิ กล่าวทิ้งท้าย
ขณะที่ดร.กิตติชัย แซ่ลี้ คณะเศรษฐศาสตร์ มธ. ศึกษาวัฏจักรธุรกิจของประเทศไทย ช่วง 15 ปีที่ผ่านมา
ดร.กิตติชัย กล่าวว่า วัฎจักรธุรกิจที่พบในประเทศไทยมักถูกอธิบายว่า เป็นความผันผวนที่เกิดจากปัจจัยภายนอกเป็นสำคัญ จริงหรือไม่นั้น ซึ่งจาก การศึกษาพบว่า ตั้งแต่ปี 2011 เป็นต้นมาแรงกระทบจากภายในประเทศ (Domestic shocks) ได้เพิ่มความรุนแรงมากขึ้น จนมีขนาดของผลกระทบรุนแรงกว่า แรงกระทบจากปัจจัยภายนอก (external shocks) เช่น ตัวนโยบายภาครัฐ เหตุการณ์น้ำท่วม เป็นต้น
ซาบีห์ อาลี โมฮิบ ผู้แทนจากธนาคารโลก