โลกหลายขั้ว: บูรพาภิวัตน์จาก"มองโกเลีย" มา ม.รังสิต
มองโกเลียเองห็นว่าตนอยู่ในยุคที่โลกแยกเป็นหลายขั้วอำนาจไม่ใช่มีแค่สองขั้วอำนาจอย่างในยุค"สงครามเย็น" และไม่ใช่มีแต่สหรัฐเป็นมหาอำนาจโลกแต่ผู้เดียวจึงเห็นว่าไม่ว่ามองโกเลียหรือไทยตัองคบกับมหาอำนาจทุกฝ่ายมีเพื่อนให้มากอย่าติดกับอยู่ในค่ายใดค่ายเดียวเท่านั้น
บรรยากาศวันครูที่อบอวลอยู่ และ ผมก็มีโอกาสเป็น"ครู" สอนชาวมองโกเลีย --นักการทูตและนักสื่อมวลชนกับสื่อสังคมจากประเทศมองโกเลีย เขามากัน 14 คน เรียนสั้นๆ 10 วันที่สถาบันการทูตฯของ ม.รังสิต ด้วยความร่วมมือกับกระทรวงต่างประเทศของไทย อยู่ในวัยสามสี่สิบ ทันสมัย หล่อ-สวย ใช้ภาษาอังกฤษได้ หญิง-ชายมีจำนวนเท่าๆ กัน ฟังผมสอนเรื่อง "โลกหลายขั้ว: บูรพาภิวัตน์"
สี่สิบนาทีแรก พวกเขาตั้งใจฟังและจดที่ผมพูดหมด ผมเริ่มด้วยการชี้ว่าไทยกับมองโกเลียนั้น ใกล้ชิดกันมากกว่าที่เราเข้าใจ จะว่าไปแล้วรัฐแรกๆของไท ไต ลาว อุบัติขึ้นมาได้เมื่อเจ็ดแปดร้อยปีที่แล้ว ก็เพราะการรุกลงใต้ของมองโกล (ลูกหลานเจงกิสข่าน) เข้ามาในสุวรรณภูมิเป็นสำคัญ พญามังราย แห่งเชียงใหม่ พญางำเมือง แห่งพะเยา และพ่อขุนรามคำแหงแห่งสุโขทัยนั้น ขึ้นครองอำนาจได้ก็เพราะชนชั้นนำเดิมในบริเวณนั้นหรือที่อยู่ใกล้เคียง ที่เป็นเขมรและพม่า ล้วนถูกมองโกลตีแตกหรือพร่ากำลังไปมากนั่นเอง
ทางภาคเหนือนั้น หากพุกามไม่ถูกมองโกลตีแตก พม่าอาจกลืนกินเชียงใหม่ พะเยาและเมืองอื่นๆของไทล้านนา ซึ่งเล็กกว่ามากได้ ไม่ยากนัก ส่วนสุโขทัยนั้นที่ขึ้นเป็นอิสระจากขอมได้ ก็ด้วยเหตุหนึ่งว่า นครวัด-นครธม อันเป็นเมืองหลวงของเขมรนั้น ถูกมองโกลตีเอายับเยินจนไม่อาจกลับมาใหญ่ได้อีกในแถบสยามนี้
นอกจากนั้น กองทัพมองโกลยังได้ตีฮานอยและตีเกาะชวาแทบจะย่อยยับ ส่วนไทย นั้น มีเชียงใหม่ที่ได้รบกับมองโกลและจีนอยู่บ้าง โดยไม่พลาดท่าเสียทีอย่างใด มิหนำซำ้ ฉวยโอกาสขยับขึ้นแทนแคว้นที่เคยเป็นใหญ่เป็นโตเหนือเรามาก่อนได้อีก
นักการทูตชาวมองโกลดูตื่นเต้นในสิ่งที่ผมเล่า ดูเป็น "ความรู้ใหม่" พวกเขาไม่เคยรู้มาก่อน (คนไทยส่วนใหญ่ก็ไม่รู้) เรื่องที่บรรพบุรุษเคยนำจีนมารบกับเชียงใหม่อยู่บ้าง เมื่อเจ็ดรัอยปีที่แล้ว ไม่ทราบกันด้วยว่าบรรพชนมาแพ้ยุงป่าแพ้ไข้ป่าแถบทางเหนือของเรามาแล้ว แต่รู้กันดีว่าบรรพชนของตนเคยยึดจีน เคยตีญี่ปุ่น เกาหลี และชวา เคยแผ่ปกไปถึงรัสเซีย เคยตีกรุงแบกแดดของมุสลิมแตกพ่าย เคยครองยุโรปตะวันออก ครองดินแดนที่ในทุกวันนี้ก็คือตะวันออกกลาง เปอร์เซีย และ เอเชียกลาง และเคยรบตะลุยไปไกลจนถึงอียิปต์
เรื่องภาวะโลกในปัจจุบันที่ผม "สอน" เขาว่ากระแสและกระบวนการบูรพาภิวัตน์กำลังมาแรง และ "ตะวันตก" อ่อนกำลังลงมาก จนช่องว่างในเชิงอำนาจระหว่าง"ตะวันตก"กับ "ตะวันออก" ลดลงไปมากนั้น หนุ่มสาวชาวมองโกเลียเห็นมากกว่าคนไทยเสียอีก เพราะเขาอยู่ติดทั้งจีนติดและรัสเซีย ตอนเหนือถูกกระหนาบโดยรัสเซียและตอนใต้โดยจีน ในรอบกว่าสิบปีมานี้ประเทศนี้ เจริญรวดเร็วมาก อย่างไม่เคยเห็นมาก่อน ขายแร่ธาตุทรัพยากรนานาชนิดและพลังงานให้กับจีน จนเศรษฐกิจโตเกิน ร้อยละ 10 ต่อปี ติดต่อกันร่วมทศวรรษ แต่สองปีมานี้โตลดเหลือร้อยละ 5-6 ต่อปี
มองโกเลียเองก็เห็นว่าตนอยู่ในยุคที่โลกแยกเป็นหลายขั้วอำนาจ ไม่ใช่มีแค่สองขั้วอำนาจอย่างในยุค"สงครามเย็น" ช่วง 2489-2534 และไม่ใช่มีแต่สหรัฐเป็นมหาอำนาจโลกแต่ผู้เดียว อย่างในช่วง ปี 2534-2551 อีกแล้ว จึงเห็นด้วยว่า ไม่ว่ามองโกเลียหรือไทย ตัองคบกับมหาอำนาจทุกฝ่าย มีเพื่อนให้มาก อย่าติดกับอยู่ในค่ายใดค่ายเดียวเท่านั้น
เขาถามเบาๆ อีก "ไทยกลัวจีนไหม กลัวรัสเซียไหม ?" ที่มาของคำถามนี้ ผมคิด ก็มองโกเลียอยู่ติดทั้งจีนและรัสเซีย กระหนาบโดยสองมหาอำนาจ และเขาถามอีกว่าอเมริกากับไทยสัมพันธ์กันดีอยู่ไหม ผมรีบตอบว่ายังดีครับ และจะดีตลอดไป แต่เราเองก็ตัองดีกับจีน ญี่ปุ่น ยุโรป และใกล้ชิดกับอาเซียนให้มากเช่นกัน ถ้าทำได้อย่างนี ก็ไม่ต้องกลัวหรือระแวงใครรายใดรายหนึ่ง โลกส่วนใหญ่กำลังต้องการการทูตและการต่างประเทศแบบ"ญาติดี" ด้วยและใช้ประโยชน์จากเพื่อนบ้านใกล้ชิด และจากมหาอำนาจทุกขั้วทุกฝ่าย
ผมถามกลับไปบ้างว่า มองโกเลียของพวกคุณมีขนาดประชากรเท่าไร เขาหัวเราะก่อนจะตอบ "สามล้านคนเอง" ส่วนขนาดของพื่นที่เขานั้นใหญ่มาก หนึ่งล้านหกแสน ตาราง กม ใหญ่เป็นสามเท่าของดินแดนไทยทีเดียว คนแค่ 3 ล้านคน กระหนาบอยู่ด้วยรัสเซียซึ่งมีประชากรราว 150 ล้าน และด้วยจีนซึ่งมีประชากร 1,300 ล้าน จำต้องอยู่ชาญฉลาดกับเพื่อนบ้านยักษ์ใหญ่ และเพื่อจำต้องสร้างดุลย์อำนาจด้วยมิตรไมตรีที่ดีกับมหาอำนาจที่ไม่ใช่รัสเซียและจีนด้วย ทั้งตัองสร้างตัวเองให้เป็นที่รู้จักและน่าเชื่อถือยิ่งๆขึ้นกับบรรดาชาติต่างๆทั่วโลก และ นี่น่าจะเป็นเหตุผลหนึ่งครับที่เขาเลือกมาอบรมที่เมืองไทย ส่วนใหญ่มาเมืองไทยเป็นครั้งแรก ดูจะตื่นเต้นกันทั่วหน้า ในสิบวันนี้พวกเขาจะเที่ยวดูสถานที่สำคัญในกรุงเทพฯวันหนึ่งและจะไปเที่ยวพักผ่อนทีหัวหินด้วย
ผมบรรยายราวชั่วโมงหนึ่ง และร่วมถามตอบกับเขาอีกสองชั่วโมง สอนเขาเสร็จ เหมือนได้คุยยาวๆ กับ"ญาติ" หรือ "เพื่อน" จากแดนไกล รู้สึกว่าได้เรียนรู้จากเขาเยอะด้วย มีความสุขที่ได้ให้และได้รับในเวลาเดียวกัน ผมเห็น อีกครั้งหนึ่งครับ ว่า มิตรภาพและน้ำใจที่เรามีให้กับทุกประเทศเป็นเรื่องดีมากมีประโยชน์ เราไม่จำต้องคบหรือเอาใจใส่แต่ชาติมหาอำนาจเท่านั้น เพื่อนยิ่งมีมาก ญาติยิ่งมีเยอะ เท่าไร ยิ่งดีครับ
ขอบคุณภาพประกอบจาก