เหยื่อกระสุนปัตตานี เล่านาทีเสียงปืนรัว!
ผ่านมาแล้วเกือบ 1 สัปดาห์ แต่เหตุการณ์ทหารพรานกองร้อย 4302 ยิงรถกระบะต้องสงสัยจนทำให้ชาวบ้านเสียชีวิต 4 รายและบาดเจ็บอีก 4 ราย ขณะปฏิบัติการติดตามจับกุมคนร้ายที่ลอบยิงฐานทหารพรานเมื่อคืนวันอาทิตย์ที่ 29 ม.ค.2555 ยังคงเป็นปริศนา และกลายเป็นประเด็นวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างกว้างขวาง
ตั้งแต่หลังเกิดเหตุ มีเสียงจากผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์บอกเล่าถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นไม่มากนัก ส่วนใหญ่ที่นำเสนอผ่านสื่อคือ นายยา ดือราแม อายุ 60 ปี คอเต็บประจำมัสยิดบ้านตันหยงบูโล๊ะ ต.ปุโละปุโย อ.หนองจิก ซึ่งเป็นคนขับรถกระบะคันที่ถูกยิง แต่นายยาวิ่งหลบหนีทันทีที่เสียงปืนดัง จึงไม่ทราบรายละเอียดของเหตุการณ์หลังจากนั้น
ล่าสุดทีมข่าว "ศูนย์ข่าวภาคใต้ สำนักข่าวอิศรา" ได้สัมภาษณ์ นายมะแอ ดอเลาะ หรือ "ปะจู" วัย 76 ปี ผู้เฒ่าซึ่งอยู่ในเหตุการณ์ และรอดชีวิตมาได้ราวปาฏิหาริย์ โดยน่าจะเป็นบทสัมภาษณ์แรกๆ ของผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์จริงตั้งแต่เสียงปืนนัดแรกดังกระทั่งเสียงปืนสงบ ขณะที่ทางฝ่ายทหารพรานที่อยู่ในเหตุการณ์ ไม่สามารถให้ข้อมูลใดๆ ได้ เพราะถูกย้ายออกจากพื้นที่เกิดเหตุ และติดขัดเรื่องระเบียบของทางราชการ
อย่างไรก็ดี กองบรรณาธิการศูนย์ข่าวภาคใต้ สำนักข่าวอิศรา ขอชี้แจงในเบื้องต้นว่า การนำเสนอบทสัมภาษณ์ชิ้นนี้ ไม่ได้มีเป้าหมายเพื่อกล่าวหาฝ่ายใด และการตัดสินใจนำเสนอก็ไม่ได้เป็นการรับรองว่าคำบอกเล่าของ "ปะจู" เป็นความจริงทั้งหมด แต่นี่คือ "ข้อเท็จจริง" จากปากของผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์จริง ประกอบกับ ศูนย์ข่าวภาคใต้ สำนักข่าวอิศรา ไม่ได้เป็นสื่อเดียวที่ได้สัมภาษณ์เหยื่อกระสุนรายนี้
เราเห็นว่าการนำเสนอข้อมูลจากคนที่อยู่ในเหตุการณ์น่าจะเป็นประโยชน์ต่อการสอบสวนของคณะกรรมการที่จะแต่งตั้งขึ้นโดยกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า (กอ.รมน.ภาค 4 สน.) ต่อไป
ปัจจุบัน นายมะแอ หรือ "ปะจู" ยังคงพักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลปัตตานี พร้อมกับหลานชายและเพื่อนบ้านอีก 1 คน โดยนายมะแอถูกยิงเข้าที่ขาซ้ายจนกระดูกแตก ซึ่งหมอได้ผ่าตัดดามเหล็กให้ และยังมีบาดแผลถูกยิงที่เท้าขวาอีก 1 นัด
ขณะที่ นายซอบรี บือราเฮง อายุ 19 ปี หลานชายของนายมะแอ ซึ่งกำลังศึกษาอยู่ชั้นปีที่ 1 มหาวิทยาลัยราชภัฏธนบุรี ยังคงพักรักษาตัวอยู่ในห้องไอซียู เพราะอาการสาหัส ต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ ส่วน นายมะรูดิง แวกะจิ อายุ 15 ปี นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนแสงประทีปวิทยามูลนิธิ ถูกยิงที่แขนขวา อาการพ้นขีดอันตรายแล้ว
เจอรัวกระสุนใส่ ต้องเอาหัวซุกใต้เบาะ
นายมะแอ ดอเลาะ หรือชื่อที่คนในหมู่บ้านเรียกขานกันติดปากว่า "ปะจู" เล่าเหตุการณ์เมื่อคืนวันอาทิตย์ที่ 29 ม.ค.อย่างละเอียด
"หลังจากละหมาดอีซาที่มัสยิดเสร็จ เวลาประมาณสองทุ่มครึ่ง ปะจูกับหลานและเพื่อนบ้านรวม 9 คนนั่งรถกระบะเพื่อจะออกไปละหมาดคนตายที่บ้านทุ่งโพธิ์ ต.ลิปะสาโง ซึ่งนัดกันไว้เวลาสามทุ่ม โดยมี นายยา ดือราแม คอเต็บมัสยิดเป็นคนขับรถ ภายในรถมีนายยา และมีเพื่อนบ้านนั่งคู่กับนายยาอีกคน ส่วนปะจูนั่งในแค็บ (ที่นั่งเล็กๆ หลังคนขับ) กับเพื่อนบ้านอีก 1 คน ส่วนคนอื่นอีก 5 คนนั่งท้ายกระบะ"
"ตอนขับรถออกจากหมู่บ้านช่วงแรกก็ไม่มีอะไร กระทั่งถึงจุดเกิดเหตุ ขณะที่รถกำลังขึ้นเนินเพื่อเข้าสาย 418 (ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 418 ปัตตานี-ยะลาสายใหม่) ได้มีทหาร 4-5 คนยืนอยู่ และหนึ่งในนั้นตะโกนบอกให้หยุดรถ พวกเราก็เลยหยุดรถ เพราะไม่มีใครคิดว่าจะมีเหตุการณ์เกิดขึ้น"
"จากนั้น นายสาหะ สาแม ที่นั่งเบาะหน้า (เสียชีวิตหลังเกิดเหตุ) ได้ตะโกนบอกเจ้าหน้าที่ว่าเราเป็นคนในหมู่บ้านนี้ กำลังจะไปละหมาดคนตายที่บ้านทุ่งโพธิ์ สักพักได้ยินเสียงปืนดังขึ้น โดยกระสุนกระหน่ำเข้ามาที่รถทางด้านซ้ายมือ กระสุนถูกคนที่นั่งเบาะหน้าล้มลงมาทับปะจูทันที"
"ตอนนั้นปะจูรู้สึกว่าถูกยิงเข้าที่ขาและที่เท้าเลือดไหลไม่หยุด เจ็บมาก ลุกไม่ได้ วินาทีนั้นยังรู้สึกตัวตลอด พยายามเอาหัวซุกใต้เบาะ ส่วนนายยาวิ่งออกจากรถหายไปแล้ว ปะจูพยายามอยู่นิ่งๆ แกล้งทำเป็นตาย ไม่รู้เวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ แต่น่าจะนานเป็นชั่วโมง ตอนนั้นคิดว่าถ้าไม่แกล้งตายคงไม่รอดแน่ ขณะที่คนอื่นเงียบเสียงหมด คิดว่าตายหมดแล้ว"
ได้ยินเสียงตะโกน "มันตายหมดหรือยัง"
ปะจูเล่าถึงเสียงที่เขาได้ยินในห้วงแห่งความเป็นความตายนั้นว่า "ได้ยินเสียงโห่ร้องตะโกนว่า...มันตายหมดหรือยัง ยิงให้ตายให้หมด...แล้วเสียงก็เงียบสักพัก หลังจากนั้นได้ยินเสียงรถวิ่งเข้ามาชนหน้ารถของนายยาถึง 2 ครั้ง ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น"
"ตอนนั้นรู้สึกปวดไปทั้งตัว ปวดมากๆ เจ็บขา เลือดของคนที่ทับตัวปะจูก็ไหลไม่หยุด แต่ก็ไม่กล้าร้องขอความช่วยเหลือเพราะกลัวเขาจะมายิงซ้ำ ทนเจ็บอยู่เป็นชั่วโมง กระทั่งได้ยินเสียงคนเปิดประตูรถ ปะจูแอบลืมตาดู คิดในใจว่าคงไม่ใช่ทหารแน่ เพราะแต่งตัวไม่เหมือนกัน จึงส่งเสียงร้องขอความช่วยเหลือ หลังจากนั้นก็มีคนมาช่วยยกออกจากรถส่งโรงพยาบาล"
ผิดหวังทำกันแบบนี้-ลั่นพร้อมพูดไม่กลัวถูกคุกคาม
นายมะแอ บอกต่อว่า เขารู้สึกผิดหวังกับเจ้าหน้าที่มาก ไม่เคยคิดเลยว่าแก่ขนาดนี้แล้วจะถูกเจ้าหน้าที่ยิง เพราะก่อนหน้านี้ก็รู้สึกดีกับเจ้าหน้าที่ เคยพูดคุยทักทายกันเป็นประจำเวลาเจ้าหน้าที่เข้ามาในหมู่บ้าน เคยให้น้ำดื่ม เคยช่วยถางป่าเพื่อเป็นทางเดินให้ พอมาเจอแบบนี้จึงรู้สึกโกรธมาก
"หลังจากนี้ไม่สนแล้วว่าชีวิตจะโดนคุกคามหรือเป็นอย่างไรต่อไป เพราะรู้สึกว่าตัวเองได้ผ่านความตายมาแล้ว ใครไม่ประสบด้วยตัวเองไม่รู้หรอกว่ามันเจ็บปวดแค่ไหน และถ้าเหตุคืนนั้นไม่มีใครรอด พวกเราทุกคนก็จะเป็นคนร้ายไปตลอดชีวิต" ปะจูกล่าวพร้อมน้ำตาคลอเบ้า พร้อมยืนกรานว่าปืนที่พบในรถไม่ใช่ของพวกเขาแน่นอน เพราะทุกคนพร้อมใจจะไปละหมาดคนตาย แล้วจะนำปืนไปด้วยทำไม
ลูกสาวถามคนแก่ขนาดนี้จะถือปืนได้อย่างไร
ด้าน นางกอไลมะห์ ดอเลาะ ลูกสาวของนายมะแอ กล่าวว่า รู้สึกเสียใจและเศร้าใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ทำให้หลายครอบครัวต้องสูญเสียพ่อ ไม่คิดว่าเรื่องแบบนี้จะเกิดที่หมู่บ้านของตนเอง เพราะเป็นหมู่บ้านที่สงบ ไม่มีเหตุร้าย แต่พอมาเกิดเรื่องกลับเป็นฝีมือของเจ้าหน้าที่รัฐเสียเอง อย่างนี้ประชาชนจะปลอดภัยได้อย่างไร
"ฉันยังโชคดีที่พ่อรอดมาได้ ต้องขอบคุณพระเจ้า สงสารพ่อมาก คนอายุขนาดนี้แล้วต้องมาทุกข์ทรมาน นอนเจ็บแผล แต่พ่อมีกำลังใจดี เข้มแข็งมาก ยังรู้สึกตัวตลอด"
"ตอนที่ทราบข่าวฉันอยู่กรุงเทพฯ เพราะฉันทำงานและแต่งงานอยู่กับแฟนที่นั่นมาหลายปีแล้ว พอทราบข่าวว่าพ่อถูกยิงก็รีบกลับมาทันที ไม่เคยคิดเลยว่าพ่อจะโดนเจ้าหน้าที่กระทำถึงเพียงนี้ รัฐต้องรับผิดชอบกับสิ่งที่ทำ ไม่ใช่มาบอกว่าพวกเราเป็นโจร ใส่ร้ายชาวบ้าน คนแก่อายุมากแล้วจะไปถือปืนได้อย่างไร สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้พ่อรอดชีวิตมาเล่าความจริงกับสังคมได้ ต้องขอบคุณพระเจ้าจริงๆ ไม่อย่างนั้นครอบครัวเราจะต้องมีตราบาปไปตลอดชีวิตว่าพ่อเป็นโจร" กอไลมะห์ กล่าว
งงแม่ทัพเจรจากับใคร - 8 ครอบครัวผู้สูญเสียไม่รู้เรื่อง
เธอยังบอกด้วยว่า วันที่แม่ทัพภาคที่ 4 เปิดเวทีพูดคุยกับญาติผู้เสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บจากเหตุการณ์ครั้งนี้ (วันอังคารที่ 31 ม.ค.2555) ครอบครัวของเธอไม่ทราบเรื่องมาก่อน รวมทั้งครอบครัวของผู้เสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บทั้ง 8 ครอบครัวด้วย ไม่มีใครไปเลย ยกเว้น นายยา ดือราแม คนเดียวที่ไป
"ขอตำหนิว่าไม่รู้ไปเจรจากับใคร และข้อเสนอ 3 ข้อตามที่เป็นข่าวนั้นก็ยังไม่เพียงพอกับครอบครัวที่ต้องสูญเสียผู้นำครอบครัวไป ลองคิดดูบางครอบครัวมีลูกถึง 10 คน เมียและลูกๆ เขาจะอยู่อย่างไร ทำไมรัฐไม่มาถาม แต่ไปถามกับคนที่เขาไม่ได้ประสบเหตุ ฉะนั้นรัฐจะต้องช่วยเหลือครอบครัวที่เขาเสียชีวิต ต้องช่วยเหลือเยียวยามากกว่ากรณีปกติทั่วไป" กอไลมะห์ กล่าว และว่าจะติดตามดูการสอบสวนของคณะกรรมการอิสระที่จะแต่งตั้งขึ้น หากไม่มีความคืบหน้าจะเรียกร้องความเป็นธรรมแน่นอน
ทั้งหมดนี้คือเสียงจากคนที่รอดตายและครอบครัว ซึ่งน่าจะเป็นประโยชน์ต่อกระบวนการค้นหาความจริงต่อไป!
---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
บรรยายภาพ :
1 นายมะแอ ดอเลาะ หรือ "ปะจู"
2 สภาพรถกระบะหลังโดนห่ากระสุน
3 นายมะแอ กับ กอไลมะห์ ลูกสาว
หมายเหตุ : อายุของ นายยา กับ นายมะแอ ที่ไม่ตรงกับข่าวเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ เพราะในงานชิ้นนี้เป็นอายุตามคำบอกเล่าของเจ้าตัว ส่วนในข่าวเหตุการณ์เป็นรายงานของเจ้าหน้าที่ ซึ่งน่าจะเป็นอายุตามบัตรประจำตัวประชาชน