คดีคุณตาไม้พยูงจะเดินไปจบและสุดทางที่ตรงไหน
คดีคุณตาไม้พยูงจะเดินไปจบและสุดทางที่ตรงไหน ...มุมอับกระบวนการสร้างการรับรู้ความเข้าใจกฎหมายของประชาชน และการสนองตอบบริการจากเจ้าหน้าที่ของรัฐบางช่วงตอนที่ต้องปรับปรุง..
นายธวัชชัย ไทยเขียว รองปลัดกระทรวงยุติธรรม และโฆษกกระทรวงยุติธรรม โพสต์แสดงความเห็นถึงคดีคุณตาไม้พยูงจะเดินไปจบและสุดทางที่ตรงไหน ...มุมอับกระบวนการสร้างการรับรู้ความเข้าใจกฎหมายของประชาชน และการสนองตอบบริการจากเจ้าหน้าที่ของรัฐบางช่วงตอนที่ต้องปรับปรุง..
นายธวัชชัย ระบุว่า ไม้พะยูง เป็นไม้หวงห้ามประเภท ก. ไม่ว่าจะขึ้นอยู่ที่ใดในราชอาณาจักรตามมาตรา 7 ที่ได้แก้ไขตามประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ฉบับที่ 107/2557 เรื่อง แก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายว่าด้วยป่าไม้ หรือเป็นไม้หวงห้ามธรรมดา ซึ่งการทำไม้นั้น จะต้องได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ หรือได้รับสัมปทานตามมาตรา 6 พระราชบญัญัตินี้แห่งพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ.2484 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติป่าไม้ (ฉบับที่ 5) พ.ศ.2518 เสียก่อน
จากพฤติการณ์แห่งคดีของคุณตาทองสุข พันชมภู อายุ 80 ปี และคู่เขยคุณตาเดิน จันทกล อายุ 70 ปี นั้น แม้เป็นไม้พะยูงที่เกิดขึ้นในพื้นที่ดินของตนเอง ที่เมื่อช่วงหน้าฝนเดือนมีนาคมที่ผ่านมาถูกพายุพัดจนล้มขวางถนนทำให้ราษฎรไม่สามารถใช้สัญจรผ่านไป-มาเพื่อนำขยะไปทิ้งที่บ่อขยะของเทศบาลได้ ทำให้ชาวบ้านต้องขับขี่รถอ้อมไปเข้ามาในที่ของคุณตา จนได้รับความเดือดร้อน จึงได้ไปแจ้งผู้ใหญ่บ้าน และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเข้ามาตรวจสอบ เมื่อตรวจสอบแล้วก็ไม่มีหน่วยงานใดมาตัดไม้ให้ ดังนั้น เมื่อทำนาเสร็จเรียบร้อยแล้ว จึงได้ชวนนายเดินซึ่งเป็นคู่เขยให้มาช่วยตัดไม้ เพื่อให้สามารถใช้เส้นทางได้เหมือนเดิม อีกทั้งไม้พะยูงก็ผุและปลวกขึ้น คุณตาจึงคิดจะตัดไม้ไปทำฟืน โดยที่ไม่ได้คิดจะนำไปขายหรือนำมาปลูกบ้านหรือซ่อมแซมบ้าน เพราะคนโบราณเชื่อกันว่าไม้ที่หักเป็นไม้ล้มหากนำไปทำบ้านก็จะถือว่าไม่เป็นสิริมงคล ต้องเป็นไม้ยืนต้นที่ไปตัดเอง จึงทำได้เพียงนำไปทำฟืนเท่านั้น
กรณีความผิดของคุณตาทั้งสองนี้ ต้องตามมาตรา 69 (36) พระราชบัญญัติป่าไม้ฯ ที่ว่าผู้ใดมีไว้ในครอบครองซึ่งไม้หวงห้ามอันยังมิได้แปรรูป โดยไม่มีรอยตราค่าภาคหลวง หรือรอยตรารัฐบาลขาย เว้นแต่จะพิสจูน์ได้ว่าได้ไม้นั้นมาโดยชอบด้วยกฎหมาย ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินห้าหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ขณะนี้กองทุนยุติธรรม ได้อนุมัติให้ความช่วยเหลือค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการดำเนินคดีตั้งแต่ค่าปล่อยตัวชั่วคราวและค่าจ้างทนายความในการดำเนินคดี
คดีนี้รัฐเป็นผู้เสียหายจึงเป็นคดีที่ยอมความไม่ได้ ดังนั้น เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงจำเป็นต้องดำเนินการส่งสำนวนให้พนักงานอัยการสั่งฟ้องต่อไป แต่อย่างไรก็ตามตามพฤติการณ์แห่งคดีดังกล่าวพนักงานอัยการอาจเสนออัยการสูงสุดสั่งไม่ฟ้องตามมาตรา 21 พระราชบัญญัติองค์กรอัยการและพนักงานอัยการ พ.ศ. 2553 เนื่องจากพนักงานอัยการมีอิสระในการพิจารณาสั่งคดีและการปฏิบัติหน้าที่ให้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญและตามกฎหมายโดยสุจริตและเที่ยงธรรม ถ้าพนักงานอัยการเห็นว่าการฟ้องคดีอาญาจะไม่เป็นประโยชน์แก่สาธารณชน หรือจะมี ผลกระทบต่อความปลอดภัยหรือความมั่นคงของชาติ หรือต่อผลประโยชน์อันสําคัญของประเทศ ตามระเบียบที่สํานักงานอัยการสูงสุดกําหนด โดยความเห็นชอบของ ก.อ.
แต่หากพนักงานอัยการมีคำสั่งฟ้องคดีต่อศาล และคุณตาทั้งสองก็ให้การรับสารภาพ ทนายความที่กองทุนยุติธรรมแต่งตั้งให้ก็จะเขียนคำร้องต่อศาลโดยอ้างเหตุตามพฤติการณ์แห่งคดี ไม่เคยต้องโทษจำคุกมาก่อน อีกทั้งมีอายุมากจึงให้ปรานีลงโทษสถานเบา โดยขอให้ศาลสั่งให้สืบเสาะและพินิจ ซึ่งก็อยู่ที่ดุลพินิจในการพิจารณาพิพากษาต่อไป
อย่างไรก็ตาม กรณีนี้เป็นกรณีศึกษา ที่ท่านนายกรัฐมนตรีเห็นว่า กระบวนการสร้างการรับรู้ความเข้าใจกฎหมายให้กับประชาชนเป็นเรื่องสำคัญ รวมถึงกระบวนการให้บริการประชาชนตามพระราชบัญญัติการอำนวยความสะดวกในการพิจารณาอนุญาตของทางราชการ พ.ศ. 2558 ซึ่งถือว่าเป็นนโยบายเร่งด่วนสำคัญของรัฐบาล โดยได้มีข้อสั่งการให้กระทรวงยุติธรรม และส่วนราชการที่เกี่ยวข้องต้องรับไปดำเนินการให้เป็นรูปธรรมและเห็นผลอย่างชัดเจนต่อไป
อนึ่ง หากประชาชนยากจนและด้อยโอกาสไม่สามารถเข้าถึงการอำนวยความยุติธรรมในกระบวนการยุติธรรมได้ ท่านสามารถติดต่อได้ที่สำนักงานยุติธรรมจังหวัดทุกจังหวัด หรือที่สำนักงานกองทุนยุติธรรม โทร.02 5026178
ทีมาภาพ:https://www.facebook.com/profile.php?id=100009162403897