70 ปี ของ ร 9: 70 ปีของโลก
ประเทศไทยเริ่มต้นรัชกาลที่เก้าด้วยการเข้าเป็นฝักฝ่ายกับ"ค่ายเสรี" ในสงครามเย็น แต่เมื่อจบรัชกาลกลายเป็นมิตรกับทุกฝ่ายทุกกลุ่ม เมื่อต้นรัชสมัย เป็นชาติพันธมิตรสหรัฐอเมริกา เมื่อปลายรัชกาลเริ่มเป็นชาติอำนาจในระดับกลาง มีอิสระเสรีและมีเส้นทางเดินด้วยตนเอง พอสมควร
หมายเหตุ : ศ.ดร. เอนก เหล่าธรรมทัศน์ โพตส์บทความบนฟซบุ๊ก เอนก เหล่าธรรมทัศน์ AnekLaothamatas เรื่อง 70 ปี ของ ร 9: 70 ปีของโลก
-----
ปาฐกถา แสดงไว้ที่หอประชุมใหญ่ธรรมศาสตร์ วันที่ 17 ธันวาคม ในมหกรรม"เพราะพ่อคือแรงบันดาลใจ"
ภาพจากสหประชาชาติ เมื่อคืนวันที่ 28 ตุลาคม ทำให้คนไทยหัวใจพองโต พากันตื่นเต้นดีใจที่ ร 9 ได้รับการยกย่องเป็นผู้นำสำคัญของโลก สิ่งท่ีพระองค์ทรงคิดและทำเพื่อพสกนิกรพระองค์นั้น เป็นที่รับรู้ และชื่นชม จากทุกทวีป ทุกมุมโลก รวมทั้งจากอเมริกา ชาติมหาอำนาจอันดับหนึ่ง
ผมตระหนักขึ้นเรื่อยๆ ครับว่า ที่ฝรั่งและนานาชาติเห็นการสวรรคตของพระองค์ท่านเป็นเรื่องใหญ่ระดับโลกเพราะรัชสมัยที่ยืนนานถึง 70 ปี นั้น สะท้อนโลกหรือเคียงคู่กับโลกที่แปรเปลี่ยนชัดเจนเหลือเกิน น่าจะชัดเจนยิ่งกว่ารัชสมัยของพระมหากษัตริย์พระองค์อื่นใดในโลกหรือชัดเจนยิ่งกว่ายุคสมัยของประธานาธิบดีหรือนายกรัฐมนตรีของชาติใด
รัชสมัยของพระองค์ท่านนั้น เริ่มตั้งแต่หลังสงครามโลก ในสภาพที่ไทยฟื้นประเทศขึ้นมาอย่างบอบช้ำ และจบลงในที่สุด เมื่อ 13 ตุลาคม 2559 ด้วยความสำเร็จ ในโลกที่ผันแปรยิ่งใหญ่ หักมุม และกลับขั้วไปมา เต็มไปด้วยภยันตราย ใครจะคาดล่วงหน้าว่าไทยจะกลายเป็นประเทศสำคัญประเทศหนึงของโลก และทั้งโลกจะหันมาชื่นชมไทยและนัอมใจศึกษาบทเรียนจากพระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกศ
เมื่อ ธ เสด็จขึ้นครองราชย์เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน พศ 2489 สหประชาชาติเองเพิ่งมีอายุไม่กี่เดือน ไทยเข้าเป็นสมาชิกอันดับที่ 55 ในขณะที่ประเทศเอเชียรวมทั้งเพื่อนบ้านทั้งหมด และประเทศในอัฟริกาส่วนใหญ่ล้วนยังไม่ ได้รับเอกราช จึงไม่ทันเข้าเป็นสมาชิกสหประชาชาติอย่างไทย
ต้นรัชกาลที่ 9 นั้น ตรงกับการเริ่มต้น "สงครามเย็น"ในโลกพอดี ที่จริง ไม่กี่ปีแรกของรัชกาลนั้น เรามัวสาละวนเอาตัวรอดจากการเข้าสู่สงครามโลก "ผิดฝ่าย" คือไปประกาศสงครามกับอังกฤษฝรั่งเศสและอเมริกาเสียนี่
ยุทธศาสตร์ของไทยคือโผเข้าสู่อ้อมกอดของสหรัฐ ที่ยิ่งใหญ่ขึ้นมาแทนอังกฤษ ซึ่งสหรัฐก็ช่วยไทยเอาไว้ได้พอสมควร จากเงื้อมมือของอังกฤษและฝรั่งเศส
เหตุที่สหรัฐเป็นหัวหน้าค่ายเสรี และความที่ไทยเองนั้นกลัวคอมมิวนิสต์มาแต่ต้น ทำให้ไทยเข้าสู่สงครามเย็นในฝ่ายสหรัฐ หรือ "ค่ายเสรี"
ที่จริงมีอีกทางเลือกหนึ่ง คืออาจเข้ากลุ่ม"ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด" แต่เราก็ไม่เลือก ด้วยต้องการใช้พลังอำนาจของสหรัฐ และด้วยว่าไทยนั้นไม่คิดว่าตนเป็นดังเช่นชาติ "ตะวันออก" อื่นๆ ที่เคยเป็นเมืองขึ้นฝรั่ง จึงไม่ถนัดใจที่จะเป็นพันธมิตรกับกลุ่ม"ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด" ซึ่งเพิ่งพ้นจากการเป็นอาณานิคมมาหยก ๆ
สงครามเย็นระหว่างสองขั้วสองค่ายนำมาสู่สงครามสหรัฐ-จีน ในเกาหลีในปี 2493 ต่อด้วยสงคราม "เดียนเบียนฟู" ระหว่างฝรั่งเศสกับเวียดนามในปี 2497 และต่อด้วยสงครามใหญ่ในเวียดนาม ลาว และเขมร ที่สหรัฐส่งทหารหลายหมื่นหลายแสนเข้าไปสู้รบกับขบวนการกู้ชาติกู้เอกราชของค่ายสังคมนิยม
ตอนที่ผมโตเป็นหนุ่ม นี่คือโลกที่เราเห็น เต็มไปด้วยความขัดแย้งรุนแรงและสงคราม ดูไม่มีวันเปลี่ยนแปลงสู่สันติภาพได้ มีสงครามอยู่รอบบ้าน สงครามที่ใกล้บ้าน และสงครามที่ไม่ไกลจากบ้านนัก ระหว่าง สองขั้ว-สองค่าย ต่างฝ่ายต่างตรึงกันอยู่ ไม่แพ้ไม่ชนะอย่างสมบูรณ์เด็ดขาด สงครามล้วนยืดเยื้อยาวนาน
ตราบจนประธานาธิบดีนิกสัน และ ดร คิสซิงเจอร์บินไปเยือนจีนในปี 2515 สถานการณ์จึงเปลี่ยนไป และนำมาซึ่งความผันผวนใหญ่ทางยุทธศาสตร์ คือ สหรัฐข้ามค่ายไปหาจีน จีนข้ามขั้วมาหาสหรัฐ สองชาติร่วมกันต้านทานโซเวียตทุกแห่งในโลก ซึ่งในเวลาต่อมาการสนธิกำลังเช่นนี้จะนำไปสู่ความอ่อนล้าของค่ายสังคมนิยม จนที่สุดต้องล่มสลายลงด้วยตนเอง
อะไรคือความ"สำเร็จ"ของไทยในยุคสงครามเย็น ? ผมคิดว่าคือการได้รับความช่วยเหลือจำนวนมากจากสหรัฐในหลายๆทางรวมทั้งทางเศรษฐกิจ ผ่านการใช้จ่ายของฐานทัพทุกภาคและจากทหารสหรัฐหลายหมื่นคนทั่วประเทศ แม้การสร้างถนนสมัยใหม่ฝ่าดงพญาเย็นเข้าไปสู่ภาคอีสานนั้น ก็ต้องอาศัยงบประมาณและขอรับความช่วยเหลือทางเทคนิคจากสหรัฐ
ทว่า ประเด็นสำคัญที่ขอย้ำก็ คือ ไทยนั้นยับยั้งชั่งใจได้ ไม่ถลำลึก หรือไม่กระโจนเข้าสู่สงครามเต็มตัวโจ่งแจ้ง จึงไม่ได้เสียหายจากสงครามนัก ต่างจากเวียดนาม ลาว และเขมร ซึ่งสูญเสียมหาศาลหลายสิบปีต่อเนื่อง
ไทยเรากลายเป็นชาติที่วัฒนาสถาพรขึ้นมาได้ก็ด้วยมีสันติภาพอันยืนยาวด้วย ประเทศจะจำเริญได้นั้นจะมีแต่เกษตร อุตสาหกรรม พาณิชย์ หรือ ท่องเที่ยวที่ดีเท่านั้น ย่อมมิได้ จะอาศัยเพียงสังคมที่กลมเกลียวเท่านั้น ก็ย่อมไม่พอ หรือจะมีแต่วัฒนธรรมที่เข้มแข็ง อ่อนพลิ้วและงดงามเท่านั้น ก็ไม่เพียงพอ หากยังต้องมีสันติภาพที่ต่อเนื่องและยาวนานอีกด้วย
สันติภาพจากปี 2489 จนถึงปี 2514 อันเป็นปีที่เราเฉลิมฉลอง 25 ปีแห่งรัชสมัย ร 9 นั้นเองที่ทำให้เศรษฐกิจที่รับเอาการลงทุนจำนวนมากจากญี่ปุ่น อเมริกา และประเทศตะวันตกอื่นๆ ไว้แล้ว เติบใหญ่พัฒนาล้ำหน้าประเทศเพื่อนบ้านใดๆไปมากโข เวียดนาม -ลาว-เขมร ยังจมปลักอยู่ในสงคราม
จากปี 2515 อันเป็นปีที่ประธานาธิบดีนิกสันไปเยือนจีน จนถึงปี 2522 ที่จีนเข้าทำสงคราม "สั่งสอน" เวียดนาม และสนับสนุนเขมรแดงผ่านไทย ก็เป็นช่วงเวลาสำคัญอึกช่วงหนึ่ง ในช่วงนี้ไทยเราพลิกกลับมาเป็นมิตรกับจีนได้สำเร็จ สงครามในกัมพูชาครั้งใหม่ ที่ไทยกังวลใจที่สุด เริ่มจากปี 2522 มาจบลงได้ในปี 2531-32 เดชะบุญญาบารมีของล้นเกล้ารัชกาลที่ 9 ปกเกล้าไทยพ้นรอดปลอดภัยจากสงครามเย็น และผ่านพ้นจากสงครามอินโดจีนครั้งที่สามหรือสงครามเวียดนามบุกเข้ายึดกัมพูชามาได้ เราตรึงเวียดนามอันเป็นกองกำลังชั้นแนวหน้าของโลกไว้ได้จริงที่ชายแดนไทย-กัมพูชานั่นเอง
ในช่วงนั้นเองในระดับโลก นี่คือช่วงที่ "กำแพงเบอร์ลิน" ล่ม ต่อด้วยช่วงที่โซเวียตล่ม ซึ่งส่งผลต่อลงมาสู่ระดับภูมิภาคเอเชียอาคเณย์ กดดันบีบคั้นให้เวียดนามจำต้องถอนทัพออกจากกัมพูชาในที่สุด
เป็นอันว่า ภายใน 45 ปี ในรัชกาลที่ 9 ราวกับเรื่องมหัศจรรย์ โลกเราหมดจากสองขั้วสองค่าย พลันเปลี่ยนไปสู่ยุค "โลกาภิวัตน์ " ที่หมายความเป็นหลักว่าโลกทั้งใบกลับกลายเป็นโลกใบเดียวกันหมด โลกที่มีสหรัฐเป็นมหาอำนาจสูงสุดของโลกชาติเดียว
จากต้นถึงกลางรัชกาล พระเจ้าอยู่หัวภูมิพลเสด็จเยือนประเทศเพื่อนบ้าน เยือนสหรัฐอเมริกา เยือนยุโรป สมานสามัคคีกับมิตรประเทศและพันธมิตรทั้งหลาย การเสด็จเยือนนิวยอร์คนั้นช่างตระการตา ยิ่งใหญ่ ประทับอยู่ท่ามกลางมหาชนสองข้างทาง ทรงโบกพระหัตถ์อยู่ในรถพระที่นั่งเปิดประทุน มีเสียงปรบมือ เสียงเปล่งถวายพระพร มีสายรุ้งงดงามหลากสี โปรยปรายลงมาจากตึกสูง เป็นอะไรที่เกิดขึ้นน้อยครั้งมากในนิวยอร์ค ผมอยู่ที่นั่นห้าปีไม่เคยเห็นสหรัฐตัอนรับประมุขประเทศใดยิ่งใหญ่เท่านั้นอีกเลย
ในช่วงปี 2522-2532 เรายังได้เห็นพระองค์ท่านทรงต้อนรับผู้นำจีนบ่อยครั้ง เช่น เติ้งเสี่ยวผิง ผู้นำสูงสุดของจีน ประธานาธิบดีเย่เจี้ยนอิง และ หลี่เซียนเนี่ยน สุภาพบุรุษเหล่านี้ล้วนอยู่ในวัยแปดสิบเศษ ท่านต้องเดินทางมาเยือนไทยหลายครั้งทีเดียว เราได้เห็นพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 เสด็จประคองผู้นำสูงวัยเหล่านั้นขึ้นลงบันใดเครื่องบิน ซึ่ง จีน-ไทย ในขณะนั้น พยายามดำเนินนโยบายที่จะนำเอาอาเซียนทั้งมวลและสหประชาชาติด้วย ไปต้านเวียดนามให้หยุดอยู่แค่ชายแดนไทยให้จงได้
ในหลวง ร 9 ทรงมีพระราชปฏิสันถาร กับท่านเติ้ง ซึ่งสมเด็จพระเทพรัตน ฯ ทรงเล่าพระราชทานให้ฟังว่า ในหลวงทรงถามเติ้งว่า "เขาว่าเขมรแดงนั้นโหดร้ายรุนแรงกับประชาชนตนเองจริงหรือไม่ ? " เติ้งเงียบพักหนึ่งและกราบบังคมทูลอย่างแข็งขันว่าตนจะสืบค้นเรื่องนี้อย่างจริงจัง และถ้าเป็นจริงก็จะจัดการไม่ให้เกิดขึ้นอีกอย่างแน่นอน
ในช่วงสิบปีสุดท้ายของรัชกาล โลกที่เปลี่ยนมากอย่างน่าพิศวงมาถึง 60 ปีแล้ว ก็ยังเปลี่ยนต่อไปอีก มากขึ้นอีก น่าอัศจรรย์ยิ่งขึ้นอีก กล่าวคือ "ตะวันตก" ทั้งมวลรวมทั้งสหรัฐนั้น แม้ว่ายังเป็นผู้นำของโลก แต่ จีนและ "ตะวันออก" หลายชาติในหลายทวีป เติบใหญ่และรุ่งเรืองขึ้นมา ซึงผมเรียกโลกยุคนี้ว่ามี "บูรพาภิวัตน์" หมายถึงว่าด้าน "ตะวันออก" ของโลกได้พัฒนาขึ้นมารวดเร็ว จนสามารถเทียบเคียงหรือท้าทายกับ "ตะวันตก" และญี่ปุ่นได้ไม่น้อย
น่างงงวย และน่ายินดียิ่ง โลกสิบปีมานี้ไม่ได้อยู่ใต้การครอบงำหรือบงการของ "ตะวันตก" แต่ฝ่ายเดียวอีกแล้ว เมื่อต้นรัชสมัยนั้น ไม่ว่าค่าย "เสรี" หรือค่าย "สังคมนิยม" ล้วนมีฝรั่งหรือตะวันตกเป็นผู้นำทั้งสิ้น ส่วน ดินแดน "ตะวันออก" นั้น ล้วนยากจนล้าหลังอดอยากไม่น้อย เป็นเพียงผู้ตาม ลูกศิษย์ ลูกไล่ หรือ บริษัท บริวาร ของฝรั่งเท่านั้น
ในรัชกาลที่เพิ่งจะจบไปอย่างยิ่งใหญ่นั้น "สงครามเย็น" สิ้นสุดลงไปอย่างน่าทึ่ง การผูกขาดครอบงำโลกโดยมหาอำนาจ "ตะวันตก" ลดลงไปมาก ฝ่าย "ตะวันออก" กลับเข้มแข็งรุ่งเรืองขึ้น อย่างแปลกประหลาด ฝ่าย"ตะวันตก"และ "ตะวันออก" ต่างมีศักดิ์ศรีและต่างทัดเทียมกันขึ้น ผสมกลมกลืนกัน และเรียนรู้จากกันและกันได้มากขึ้น
ในพิธีที่สหประชาชาติ พระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกศนั้น แม้ ทรงเป็นพระประมุขของ "ตะวันออก" แต่ ทรงได้รับการยกย่องสรรเสริญไม่น้อยไปกว่าประมุขหรือผู้นำที่ยิ่งใหญ่ของ "ตะวันตก"เลย
ภาพสะท้อนของโลกที่ได้เปลี่ยนแปลงกลับกลายไปมากมาย ด้วยการมองผ่านรัชสมัยของพระเจ้าอยู่หัวองค์ที่แล้วนั้น ยากมากที่จะเอาไปเทียบกับยุคสมัยของประมุขหรือผู้นำหรือพระมหากษัตริย์พระองค์ใดในโลกได้ ถ้าพอจะเทียบได้อาจเทียบกับควีนอลิซาเบทของสหราชอาณาจักร
รัชสมัยอันยาวนานเช่นกัน ของควีนองค์นี้ เป็นประจักษ์พยานของการเปลี่ยนประเทศสหราชอาณาจักรจากการเป็นมหาอำนาจอันดับหนึ่งของโลก ลดลงไปกลายเป็นมหาอำนาจอันดับห้าหรือหก อย่างสงบสันติ และพสกนิกรยังมีความสุข และ ยังพอใจในชีวิตของตน และชีวิตของประเทศที่เปลี่ยนไปมหาศาลเช่นกัน แต่ เปลี่ยนไปในทางลบ ลดความสำคัญลง เป็นหลัก ครับ
ส่วน 70 ปี ของรัชกาลที่ 9 นั้น เป็นหลักฐานเชิงประจักษ์ของประเทศ "ตะวันออก" ประเทศหนึ่ง ที่ค่อนข้างยากจนและล้าหลัง แต่ได้แปรเปลี่ยนตนเอง กลายเป็นประเทศสำคัญของเอเชีย เปลี่ยนไปในทางบวก เพิ่มพูน ความสำคัญขึ้น ครับ
ทุกวันนี้ไทยเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจและศูนย์กลางลอจิสติกส์ของอาเซียน และอาเซียนที่ไทยมีส่วนสำคัญในการสร้างขึ้นมา กลายเป็นภูมิภาคที่สำคัญของโลก เชื่อมโยงเข้ากับจีน-อินเดีย มหาอำนาจเศรษฐกิจใหม่ของโลกได้อย่างง่ายดาย
ที่สำคัญยิ่งอีกอย่างคือในตอนท้ายสุด คือในทศวรรษที่เจ็ด ของรัชสมัย ไทยมีความสัมพันธ์ที่ดีกับทุกฝ่าย ทุกกลุ่มทุกมหาอำนาจ ไม่ว่าจะเป็นสหรัฐ จีน ญี่ปุ่น ยุโรป และรัสเซีย หรือเวียดนามกับกัมพูชาเองก็ตาม สองชาตินี้กลายเป็นมิตรดีกับไทย และ เข้าเป็นสมาชิกอาเซียน อย่างเต็มภาคภูมิ
ประเทศไทยเริ่มต้นรัชกาลที่เก้าด้วยการเข้าเป็นฝักฝ่ายกับ"ค่ายเสรี" ในสงครามเย็น แต่เมื่อจบรัชกาลกลายเป็นมิตรกับทุกฝ่ายทุกกลุ่ม เมื่อต้นรัชสมัย เป็นชาติพันธมิตรสหรัฐอเมริกา เมื่อปลายรัชกาลเริ่มเป็นชาติอำนาจในระดับกลาง มีอิสระเสรีและมีเส้นทางเดินด้วยตนเอง พอสมควร
แน่นอน ในหลวง ร 9 มิได้ทรงดำเนินวิเทโศบายด้วยพระองค์เอง พระองค์ไม่ทรง"ปกครอง" บ้านเมือง แบบพระมหากษัตริย์แห่งสมบูรณาสิทธิราชย์แต่ทรง "ครองแผ่นดิน" อย่างกษัตริย์ใต้รัฐธรรมนูญ ปกเกล้าปกกระหม่อม รัฐบาลและประชาชน "อย่างไทยๆ "
ในทางการทูตและการต่างประเทศนั้นทรงสนับสนุน ตักเตือน และ แนะนำ รัฐบาล จนรักษาชาติเอาไว้ได้ ตั้งแต่ยุคสงครามโลกจบ แต่ไทยไม่จบเห่ ไม่ยอมแพ้ ผ่านยุคสงครามเย็นมาได้ อยู่รอดปลอดภัยในช่วง 2522-2532 ในสงครามเวียดนามยึดกัมพูชา ทั้งยังประสบความสำเร็จในการผันตัวเองมาเป็นมิตรดียิ่งกับจีน และหลังปี 2532 ไปแล้ว ยังกลับมาเป็นมิตรกับเวียดนามและกับเขมรที่เราร่วมกับจีนรบต่อต้านมาก่อน
พระเจ้าอยู่หัว ร 9 ทรงนำพาชาติไทยไปคบหากับมหาอำนาจ ทั้งเก่า ทั้งใหม่ อย่างพอดี พอเหมาะ บัวไม่ให้ช้ำน้ำไม่ให้ขุ่น ใช้ประโยชน์และรับแรงหนุนได้หมดจากจีน ญี่ปุ่น อาเซียน ยุโรป หรือ อเมริกา ประเทศไทยวันนี้ยัง "หลั่นล้า" ร่มเย็น และปลอดภัยต่อไปในโลกที่ปั่นป่วนแต่ก็เปลี่ยนแปลงใหญ่อย่างมีนัยสำคัญ คู่ไปด้วย อย่างรุนแรงและไม่หยุดยั้งด้วย
ทั้งหมดนั้น คือ 70 ปีของรัชสมัย และ 70 ปีของโลก ครับ
ผมขอเชิญชวนพวกเราทุกท่านสงบนิ่ง ระลึก ย้อนคิด ย้อนพินิจผลงานในรัชสมัยที่มีต่อการต่างประเทศ ต่อเพื่อนบ้าน ต่อภูมิภาค ต่อโลก พวกเรานั้น "เย็นศิระเพราะพระบารมี" จริงๆ และ "ผลพระคุณ ธ รักษา" นั้นก็เกิดขึ้นจริง และ "ปวงประชาเป็นสุขศานต์" นั้นก็ไม่มีใครปฏิเสธได้
ขอน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ท่านที่ทำให้ประเทศอยู่รอดปลอดภัยและเจริญก้าวหน้ามาได้