ไปเยือน"โมรอคโค"มา
ผมไปเห็นและไปอยู่มาหลายที่หลายแห่งแล้ว อดจะแปลกใจไม่ได้ที่ไทยเราเป็นเพียงไม่กี่ประเทศใน "โลกตะวันออก" ที่ไม่ตกเป็นเมืองขึ้นของ "ฝรั่งตะวันตก" มันไม่ใช่เรื่องง่ายนะครับ เพราะแม้แต่โมรอคโคที่เคยยิ่งใหญ่ยืนยงก็ยังหนีไม่พ้นอุ้งมือของฝรั่งไปได้ แต่ที่พูดอย่างนี้ก็ไม่ใช่ให้เราประมาทและ "ย่ามใจ" นะครับ ยืนยันได้
ศ.ดร. เอนก เหล่าธรรมทัศน์ โพสต์บทความบนเฟซบุ๊ก เอนก เหล่าธรรมทัศน์ Anek Laothamatas เรื่อง ไปเยือน"โมรอคโค"มา
-----
เพิ่งพาคณะ "ยุวอาวุโส" (คนในวัยห้าสิบปลายๆถึงหกสิบต้นๆ ) พร้อมลูกหลาน รวมแล้วราวสามสิบคนไปเยือนประเทศโมรอคโค นับเป็นประเทศที่สามในทวีปอัฟริกาที่ได้ไป ก่อนนี้เคยไปอียิปต์และตูนีเซียมาแล้ว
โมรอคโคเป็นดินแดนที่อยู่ทางตะวันตกเกือบที่สุดของแผ่นดินสามทวีปซึ่งเชื่อมติดกันคือเอเชีย-ยุโรป-อัฟริกา อยู่ตะวันตกยิ่งกว่าโปรตุเกส สเปน และอังกฤษเสียอีก บินจากกรุงเทพฯ ราว 15 ชั่วโมงจึงจะถึง โมรอคโคนั้นแทบจะชิดแผ่นดินสเปน มีน้ำทะเลคั่นเอาไว้เพียงนิดเดียว 1.5 ไมล์ เท่านั้น และในอดีต โมรอคโค ซึ่ง ขอย้ำ เป็นดินแดนชาวมุสลิม แผ่ขึ้นเหนือครองดินแดนสเปนซึ่งเป็นของชาวคริสต์ได้ และรักษาอำนาจที่นั่นได้ถึงราว 150 ปี อยู่ในช่วงไหนหรือ ? คำตอบคือ คศ 1086-คศ 1231 โดยประมาณ เทียบกับไทย พ่อขุนรามคำแหง พญามังราย และพญางำเมือง ทรงมาช่วยกันคิดเรื่องทำเลที่ตั้งเมืองเชียงใหม่ ก็ราวๆ คศ 1296 ประวัติศาสตร์ไทยที่เราภูมิใจดูเยาวัยถนัดตา เมื่อ "เทียบ" กับโมรอคโค
มุสลิมได้ถ่ายทอดอารยธรรม ศิลปวัฒนธรรม และวิทยาการชั้นนำของโลกในยุคนั้นให้แก่ฝรั่ง ซึ่งในตอนนั้น ขอย้ำนะครับ อ่อนแอและยังล้าหลัง กว่าที่สเปนจะเข้มแข็งขึ้นมาและขับไล่มุสลิมออกได้หมดก็ตกมาถึง ปี คศ 1492 แล้ว และหลังจากนั้นไม่นาน ฝรั่งจะค่อยๆ พลิกเปลี่ยนมาครอบงำ มาแทรกแซง และ ที่สุดในศตวรรษที่ 19 และต้นศตวรรษที่ 20 ก็ยึดครองอัฟริกาตอนเหนือรวมทั้งโมรอคโคคืนเอาบ้าง
โมรอคโค อดีตมหาอำนาจมุสลิมที่เคยครองสเปน พลิกกลับลงมาอยู่ใต้อำนาจของฝรั่งเศสและสเปน จนถึงปี 1956 จึงได้เอกราชคืนมา ทุกวันนี้ชาวโมรอคโคจำนวนมากพูดฝรั่งเศสและสเปนได้ดี ส่วนอังกฤษนั้นใช้น้อยมาก คนที่นี่ใช้เงินยูโรได้คล่องแคล่วกว่าเงินดอลลาร์อเมริกันและยิ่งกว่าเงินปอนด์มาก นักท่องเที่ยวต่างชาตินั้นมีมาจากฝรั่งเศส และสเปน เป็นหลัก ญี่ปุ่นรองลงมา หลังๆ มีชาวจีนเข้ามาเที่ยวมากขึ้น ส่วนคนไทยนั้นก็มีมาบ้าง แต่สม่ำเสมอ คนที่นี่รู้จักคนไทยและ "ไทยแลนด์" ดีทีเดียว รายได้จากการท่องเที่ยวของโมรอคโคนั้นจัดว่าสำคัญมากทีเดียว เพราะประเทศนี้ไม่มีน้ำมันเสียด้วย
ภูมิอากาศและภูมิประเทศของโมรอคโคมีแทบทุกแบบ มีความหลากหลายพูดอย่างนั้นดีกว่า ติดทั้งทะเลเมดิเตอเรเนียและมหาสมุทรแอตแลนติก มีเทือกเขา "แอตลาส" อันเรืองนาม คำว่าแอตลาสที่แปลว่าแผนที่ของฝรั่งก็มาจากคำนี้นั่นเอง แอตลาสบางยอดสูงมากกว่าสี่กิโลเมตรก็มี ปกคลุมด้วยหิมะทั้งปี โมรอคโคมีทั้งแกะอย่างที่เลี้ยงกันในเขตอบอุ่น และก็เลี้ยงแพะแบบในเขตร้อนด้วย มีม้าอาหรับรูปงามกำยำ และก็มีอูฐทะเลทรายด้วย มีผลไม้หลากชนิดแบบยุโรปใต้ มีไม้ซีดาร์แบบเขตเมดิเตอเรเนีย แต่ก็มีอินทผาลัมหวานอร่อยเช่นกัน มีชายทะเล
แอตแลนติกที่คลื่นลมแรงจัด และอุดมด้วยพันธ์ไม้เขียวขจี แต่ก็มี "โอเอซิส" และใต้ทะเลทรายกว้างใหญ่นั้นก็ยังมีธรรมชาติล้ำค่ายิ่ง คือ หินฟอสซิลยุคดึกดำบรรพ์กระจายอยู่มากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก มีเมืองสมัยใหม่พร้อมรถราง รถเก๋ง และรถบรรทุกวิ่งขวักไขว่ มีผู้หญิงทุกวัยที่คลุมผ้าปิดผมหรือปิดหน้ามิดชิด แต่ก็มีสาวสวยหุ่นดีที่เริงระบำหน้าท้องในยามค่ำคืนให้แขกเหรื่อชื่นชม มีเมืองเก่าแก่อายุเป็นพันปีหลายเมือง เช่น เมืองแทนเจียร์ เฟส และ มาราเกซ เป็นต้น หลายเมืองอยู่บนเขาสูง เช่น เชฟชาอูน โรแมนติกมาก คล้ายเมืองในสวิส แต่ทาสีฟ้าทั้งเมือง อีกหลายเมืองกลับอยู่ในหุบเขามีต้นไม้แทรกอยู่เป็นดง แปลกสำหรับเรา แต่ก็สวยสดใสแบบของเขา
ศิลปะและสถาปัตยกรรมของโมรอคโคสวยงามมาก แปลกตา และประณีตแต่ก็อลังการ ไม่สู้จะเหมือนกับอินเดีย ปากีสถาน อิหร่าน และเอเชียกลาง ดูจะคล้ายไปทางสเปนตอนใต้-- อันดูลาเชีย--ที่เคยอยู่ใต้มุสลิมมากกว่า
ไปโมรอคโค นอกจากไปดูภูมิประเทศและบรรยากาศ แล้ว ยังจะเห็นความยิ่งใหญ่ในอดีตของอารยธรรมมุสลิมและศาสนาอิสลาม ซึ่งเราไม่คุ้นเคย ในคริสตศตวรรษที่ 8 นั้น ชาวมุสลิมที่เคลื่อนทัพออกจากคาบสมุทรอาหรับ เดินทางนับหลายพันกิโลเมตร เข้ายึดครองได้ทั้งสเปนและโปรตุเกส และยังรบรุกคืบต่อไปเรื่อย ๆ จนที่สุดเกือบจะยึดฝรั่งเศสไว้ได้ หลังจากที่ผนวกรวมอัฟริกาตอนเหนือไว้ได้หมดก่อนหน้านั้นแล้ว
นอกจากนั้นมุสลิมในศตวรรษที่แปดและเก้ายังยึดอาณาจักรเปอร์เซียได้ ยึดเอเชียกลางได้ และเริ่มขยับเข้ายึดอินเดียบางส่วนทางด้านตะวันตก ได้เช่นกัน กล่าวได้ว่าดินแดน "ครึ่งโลก" ในสามทวีป ล้วนตกอยู่ใต้อำนาจของชาวมุสลิม
รอบ ๆ ทะเลเมดิเตอเรเนียนั้น คือดินแดนที่สามทวีปมาบรรจบกัน อันได้แก่ยุโรปใต้ อัฟริกาตอนเหนือ และเอเชียตะวันตก ในอดีตบริเวณนี้เคยอยู่ใต้อาณาจักรโรมันที่ยิ่งใหญ่ แต่บริเวณเดียวกันนี้ ตั้งแต่คริสตศตวรรษที่ 8-9 เป็นต้นมา ตกอยู่ใต้อำนาจชาวมุสลิมเกือบหมด และต่อมาในยุค"ออตโตมาน" ในราวปลาย ๆ คริสตศตวรรษที่ 15 "คอนแสตนติโนเปิล" เมืองหลวงอันยิ่งใหญ่ของโรมันตะวันออกเอง ก็ต้องแตกพ่ายให้กับ "มุสลิมชาวเติร์ก" ด้วย "คอนแตนติโนเปิล"ถูกเปลี่ยนมาเรียกว่า"อิสตันบุล" ตั้งแต่นั้นมา
ขอเชิญชวนชาวไทยเราไปเที่ยวยุโรป อเมริกา และญี่ปุ่นให้น้อยลง ลองไปเยี่ยมโมรอคโคและอัฟริกาตอนเหนือกันบ้าง จะไม่ผิดหวังแน่นอน เปิดโลกทรรศน์เราให้ "หลากหลาย" กันเถิด เพราะโลกที่อยู่เป็นจริงนั้นก็เป็น "พหุนิยม" และ "หลากหลาย" ยิ่งกว่าที่เราคิดเสียอีก สำหรับ "นักช้อป" ที่นี่ก็น่าสนใจ มีของถูกให้ซื้อมากมาย รวมทั้งกระเป๋า เข็มขัด รองเท้า และเสื้อหนังอูฐ หนังที่แพงยิ่งกว่าหนังแกะและหนังวัว มีพรมสวยดีแต่ราคาถูก มีน้ำมันอาร์กันออยล์ที่นิยมกันทั่วไปในขณะนี้ มีฟอสซิลของสิ่งมีชีวิตและสัตว์ทะเลบุพกาลอายุราวสามร้อยล้านปี มีเซรามิก ลวดลายโบราณ และอาหารที่นี่แม้ไม่คุ้นชินปาก ก็มีรสชาดใช้ได้ทีเดียว น่าลอง
"คาซาบลังก้า" เมืองใหญ่ที่สุดของเขามีคนราวสามล้านคนครับ ทันสมัย สวยงาม และหรูหราดูดีพอใช้ได้ อ้อ ! โมรอคโคยังมีพระมหากษัตริย์ด้วย คล้ายกับเรา มีพระบรมฉายาลักษณ์ติดอยู่ตามสถานที่สำคัญทั่วไป
โมรอคโคเป็นดินแดนที่ไม่ได้มีเฉพาะมุสลิมและอิสลาม เท่านั้น หากยังมีอดีตอันไกลโพ้นของโรมันให้เห็นไม่ยาก และยังมีอดีตใกล้ๆที่เพิ่งจบลงไม่นานของฝรั่งอาณานิคมคือ ฝรั่งเศส สเปน และ โปรตุเกส ให้สัมผัสได้ด้วย ในปี คศ 1912 ไม่นานนี้เอง ครับ ที่โมรอคโคตกเป็นเมืองขึ้นของฝรั่งเศส ปี 1912 นี้ ก็ตรงกับต้นรัชกาลที่หกของไทย และกว่าพวกเขาจะได้เอกราชคืนมาก็ตกปี คศ 1956 ตรงกับรัชกาลที่เก้าของเราเท่านั้นเอง
ผมไปเห็นและไปอยู่มาหลายที่หลายแห่งแล้ว อดจะแปลกใจไม่ได้ที่ไทยเราเป็นเพียงไม่กี่ประเทศใน "โลกตะวันออก" ที่ไม่ตกเป็นเมืองขึ้นของ "ฝรั่งตะวันตก" มันไม่ใช่เรื่องง่ายนะครับ เพราะแม้แต่โมรอคโคที่เคยยิ่งใหญ่ยืนยงก็ยังหนีไม่พ้นอุ้งมือของฝรั่งไปได้ แต่ที่พูดอย่างนี้ก็ไม่ใช่ให้เราประมาทและ "ย่ามใจ" นะครับ ยืนยันได้