เมื่อกมธ.-สนช.เกือบทั้งสภา กระทำการที่ขัดแย้งต่อรธน.?
“....ผู้ดำรงตำแหน่ง....สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา ส่อว่าจงใจใช้อำนาจหน้าที่ขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ วุฒิสภามีอำนาจถอดถอนผู้นั้นออกจากตำแหน่งได้...”
ในบทความแรกๆที่เกี่ยวกับเรื่องนี้ผมได้เสนอแนะแนวทางแก้ไขในเรื่องนี้ไปแล้วว่า กระทรวงการคลังและสำนักงบประมาณจะต้องรีบเร่งเสนอให้ท่านพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีตรากฎหมายโอนงบประมาณรายจ่ายที่ไม่ใช่งบกลาง แต่จากของส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจหลายแห่งที่ได้เพิ่มขึ้นจากการแปรญัตติที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญไปเพิ่มจำนวนที่ได้ตัดลดรายจ่ายตามข้อผูกพันในมาตรา 57 ให้คงไว้เท่าจำนวนเดิมก็จะเป็นผลให้พระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2560 ในส่วนนี้ไม่ขัดแย้งต่อรัฐธรรมนูญ และยังเป็นการ “ปลงอาบัติ” ของสภานิติบัญญัติแห่งชาติที่ได้มีการกระทำที่ขัดแย้งต่อรัฐธรรมนูญอีกด้วย
แต่มาถึงเวลานี้และอีกไม่นานรัฐธรรมนูญฉบับใหม่จะมีผลใช้บังคับแล้ว การกระทำที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญเมื่อวันที่ 8 กันยายน 2559 ส่งผลให้สภานิติบัญญัติแห่งชาติที่ได้มีมติถอดถอนอดีตสมาชิกรัฐสภาไปหลายคนได้กลายเป็นผู้กระทำการที่ขัดแย้งต่อรัฐธรรมนูญที่เป็นความผิดที่ฉกรรจ์ต่อกรอบวินัยการเงินการคลังเสียเองและอยู่ในข่ายที่จะถูกถอดถอนได้เช่นเดียวกัน เพราะเมื่อรัฐธรรมนูญฉบับใหม่มีผลใช้บังคับในวันใดการกระทำที่ขัดแย้งต่อรัฐธรรมนูญจะไม่มีผลทันที จะมีปัญหาทั้งข้อกฎหมายและความรับผิดตามมามากมายที่จะชี้ให้เห็นต่อไป
ปรากฏข้อเท็จจริงนี้ในรายงานของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2560 ในเล่มที่ 1 และ 2 ในร่างมาตรา 57 และการลงมติในวันที่ 8 กันยายน 2559 ดังนี้
งบประมาณรายจ่ายสำหรับแผนงานบริหารจัดการหนี้ภาครัฐ ให้ตั้งงบประมาณรายจ่ายของส่วนราชการ และรัฐวิสาหกิจ เป็น จำนวน 243,481,4508000 บาท จำแนกดังนี้
(243,881,811,000)บาท
1. กระทรวงการคลัง รวม 191,019,489,800 บาท คือ
(191,019,850,000)
สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ 191,019,489,800 บาท
(191,019,850,000)
2. รัฐวิสาหกิจ รวม 52,461,961,000 บาท
(52,861,961,000)
(1) ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร 36,067,683,100 บาท
(2) การรถไฟแห่งประเทศไทย 7,550,565,000 บาท
(7,950,565,000)
(3) การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย 8,202,814,000 บาท
(4) การประปาส่วนภูมิภาค 640,898,900 บาท
***หมายเหตุ
(ตัวเลขที่อยู่ในวงเล็บ )คือ ตัวเลขที่คณะกรรมาธิการตัดออก
ตัวเลขที่ขีดเส้นใต้ คือ ตัวเลขที่ใช้แทนตัวเลขที่อยู่ในวงเล็บและขณะนี้ประกาศใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2559 เป็นพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2560 แล้ว)
การที่สภานิติบัญญัติแห่งชาติได้เห็นชอบตามที่คณะกรรมาธิการแก้ไขในมาตรา 57 และผ่านวาระที่สองและสามเพื่อให้ใช้บังคับเป็นกฎหมายได้การกระทำดังกล่าวนี้ทั้งของคณะกรรมาธิการวิสามัญและสภานิติบัญญัติแห่งชาติจึงขัดแย้งต่อรัฐธรรมนูญทุกฉบับและตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 168 ที่บัญญัติไว้ว่า
“....ในการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ....สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจะแปรญัตติเพิ่มเติมรายการหรือจำนวนในรายการมิได้ แต่อาจแปรญัตติในทางลดหรือตัดทอนรายจ่ายซึ่งมิใช่รายจ่ายตามข้อผูกพันอย่างใดอย่างหนึ่ง ดังต่อไปนี้
(1) เงินส่งใช้ต้นเงินกู้
(2) ดอกเบี้ยเงินกู้
(3) เงินที่กำหนดให้จ่ายตามกฎหมาย...” ในกรณีนี้ได้แก่ “ค่าธรรมเนียม” ในการกู้เงิน
ทั้งนี้เพราะรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ. 2557 มาตรา 5 ให้นำประเพณีการปกครองประเทศไทยในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขมาใช้บังคับ รายจ่ายตามข้อผูกพันสามกรณีนี้จึงไม่อาจลดหรือตัดทอนได้ในชั้นพิจารณาของสภานิติบัญญัติแห่งชาตินี้ และรายจ่ายตามข้อผูกพันดังกล่าวนี้ก็ไม่เคยถูกรัฐสภาไม่ว่าในสมัยใดตัดลดทอนตั้งแต่มีบทบัญญัติห้ามไว้เป็นครั้งแรกในรัฐธรรมนูญปี พ.ศ. 2521 แม้จะมีเหตุผลที่สำคัญประการใดก็ต้องดำเนินการตัดในชั้นพิจาณาของคณะรัฐมนตรีก่อนจะมาอยู่ในวาระของสภาพิจารณา
เมื่อนำประเพณีนี้มาใช้ในเรื่องนี้ได้แล้วก็ทำให้ต้องตระหนักต่อไปว่ายังมีมาตรา 270 ในส่วนที่ 3 ของรัฐธรรมนูญปี 2550 การถอดถอนจากตำแหน่ง ที่บัญญัติไว้และนำมาใช้เป็นประเพณีได้และสภานิติบัญญัติแห่งชาติก็ได้นำมาใช้ต่างกรรมต่างวาระแล้ว ที่บัญญัติไว้ ดังนี้
“....ผู้ดำรงตำแหน่ง....สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา ส่อว่าจงใจใช้อำนาจหน้าที่ขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ วุฒิสภามีอำนาจถอดถอนผู้นั้นออกจากตำแหน่งได้...” และกระบวนการตามมาตรานี้สภานิติบัญญัติแห่งชาติชุดเดียวกันนี้ก็ใช้ถอดถอนอดีตสมาชิกรัฐสภาไปหลายรายแล้วใช่หรือไม่?
คงจะเป็นการเหลือวิสัยที่จะให้สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติชุดเดียวกันนี้ที่มีไม่กี่ท่านที่ได้แต่งตั้งเพิ่มภายหลังและไม่ได้มีส่วนร่วมการลงมติในวันที่ 8 กันยายน 2559 ดังกล่าวจะเข้าชื่อกันเพื่อถอดถอนกันเอง และท่านคงคิดว่าปล่อยให้เรื่องนี้ผ่านไปจนกว่างบประมาณรายจ่ายปี พ.ศ. 2560 จะสิ้นสุดไปในวันที่ 30 กันยายน 2560 เรื่องนี้ก็ไม่เป็นความผิดแล้ว โดยไม่เล็งเห็นผลใยดีว่ากรณีที่กระทำผิดรัฐธรรมนูญนี้จะถูกนำมาเป็นบรรทัดฐานที่ผิดในการแปรญัตติในลักษณะเดียวกันนี้ต่อไปอีก
ถ้าคิดอย่างนี้ก็ขอให้รอไปจนถึงเทศกาลในวันที่รัฐธรรมนูญฉบับใหม่มีผลใช้บังคับ ในวันนั้นแหละที่การกระทำที่ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่ยังคงบัญญัติไว้เหมือนเดิมทุกประการในร่างมาตรา 144 จะเป็นผลให้การแปรญัตตินั้นไม่มีผลใช้บังคับทันที และมีโทษความรับผิดที่กำหนดไว้หลายประการตามวรรคต่างๆของมาตรานี้ที่จะนำมาวิเคราะห์ให้เห็นในบทความนี้เมื่อรัฐธรรมนูญฉบับใหม่มีผลใช้บังคับแล้ว
ในวันนี้เพียงขอบอกว่าการดำเนินการในเรื่องความรับผิดและการสิ้นสุดสมาชิกภาพของสมาชิกรัฐสภาและการพ้นจากตำแหน่งของคณะรัฐมนตรีตามรัฐธรรมนูญฉบับเดิมและใหม่เพื่อให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่ามีการฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญนั้น มีลักษณะที่ยากเช่นเดียวกับกรณี “ธรรมกายและเหตุ ปาราชิกของธัมมชโย” ฉันใดก็ฉันนั้น
ศาสตราจารย์พิเศษ ดร. ปรีชา สุวรรณทัต