กพร. ชี้ไทยมีปริมาณสำรองแร่ควอตซ์คุณภาพสูง- วัตถุดิบผลิตเซลล์แสงอาทิตย์กว่า 25 ล้านตัน
กพร. ยันไทยมีปริมาณสำรองแร่ควอตซ์คุณภาพสูงกว่า 25 ล้านตัน ใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตเซลล์แสงอาทิตย์เพื่อผลิตพลังงานไฟฟ้าได้ประมาณ 1 ล้านเมกกะวัตต์ หรือ 34 เท่าของความต้องการพลังงานไฟฟ้าสูงสุดของประเทศปี 2559
นายสมบูรณ์ ยินดียั่งยืน รองอธิบดีกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ รักษาราชการแทนอธิบดีกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ กล่าวถึง แร่ควอตซ์ นับเป็นวัตถุดิบตั้งต้นที่สำคัญในอุตสาหกรรมซิลิกอน ซึ่งเป็นส่วนประกอบหลักของการผลิตเซลล์แสงอาทิตย์(Solar Cell) ในการผลิตพลังงานไฟฟ้ากรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ ในฐานะหน่วยงานกำกับดูแลการประกอบกิจการแร่เล็งเห็นว่าประเทศไทยมีศักยภาพของแร่ควอตซ์คุณภาพสูงมากพอที่จะผลักดันสู่การนำไปใช้ในการผลิตพลังงานทดแทนจากแสงอาทิตย์ โดยมีเป้าหมายในการใช้แร่ควอตซ์คุณภาพสูงเป็นวัตถุดิบในการผลิตซิลิกอนเกรดแสงอาทิตย์ (Solar Grade Silicon)
"ปัจจุบันประเทศไทยยังไม่มีอุตสาหกรรมผลิตซิลิกอนเกรดแสงอาทิตย์ มีเพียงการผลิตซิลิกอน เกรดโลหกรรม (Metallurgical Grade Silicon) ซึ่งถูกนำไปใช้ในอุตสาหกรรมหล่อโลหะผสมอะลูมิเนียมสำหรับชิ้นส่วนยานยนต์และอุตสาหกรรมเคมีเพื่อผลิตซิลิโคนเท่านั้น"
นายสมบูรณ์ กล่าวต่อว่า ประเทศไทยมีปริมาณสำรองแร่ควอตซ์คุณภาพสูงกว่า 25 ล้านตัน ซึ่งจะสามารถผลิตซิลิกอนความบริสุทธิ์สูงได้ประมาณ 6 ล้านตันและสามารถผลิตพลังงานไฟฟ้าได้ประมาณ 1 ล้านเมกกะวัตต์ หรือประมาณ 34 เท่าของความต้องการพลังงานไฟฟ้าสูงสุดของประเทศไทยและสามารถสร้างรายได้ให้ประเทศไทยได้ไม่น้อยกว่า3.6-4.5 ล้านล้านบาทซึ่งยังไม่รวมมูลค่าเพิ่มจากอุตสาหกรรมต่อเนื่องที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง (Hi-technology) และมีมูลค่าสูงในประเทศ
สำหรับพื้นที่ที่พบว่า เป็นแหล่งแร่ควอตซ์ในประเทศไทย ได้แก่ พื้นที่จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ มีปริมาณ 9.97 แสนตันเพชรบุรี มีปริมาณ 9.7 หมื่นตันสระแก้ว มีปริมาณ4 แสนตันระยอง มีปริมาณ7.56 ล้านตันจันทบุรี มีปริมาณ2 หมื่นตัน และราชบุรีมีปริมาณ 16 ล้านตัน
นายสมบูรณ์ กล่าวด้วยว่า ปัจจุบันมีนักลงทุนจากต่างประเทศสนใจเข้ามาลงทุนและพัฒนาแร่ควอตซ์ในประเทศไทยโดยกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่อยู่ระหว่างการจัดทำนโยบายการพัฒนาแหล่งแร่ควอตซ์ เพื่อรองรับการผลิตพลังงานไฟฟ้าแสงอาทิตย์ โดยคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดต่อประเทศและผลกระทบต่อประชาชน ซึ่งเชื่อมั่นว่าหากมีอุตสาหกรรมการผลิตพลังงานไฟฟ้าแสงอาทิตย์ครบวงจรจากแร่ควอตซ์ในประเทศไทย จะส่งผลให้เกิดรายได้แก่ประเทศเป็นจำนวนมหาศาล ก่อให้เกิดการลงทุนและพัฒนาอุตสาหกรรมต่อเนื่องที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูงและมีมูลค่าสูงในประเทศ รวมทั้งส่งผลให้ต้นทุนค่าไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ลดลง สามารถแข่งขันกับพลังงานทางเลือกอื่นๆ ได้ และประเทศไทยจะเป็นฐานการผลิตซิลิกอนเกรดโลหกรรมซิลิกอนเกรดแสงอาทิตย์และแผงเซลล์แสงอาทิตย์ที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคอาเซียน สามารถรองรับการขยายตัวของอุตสาหกรรมผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ที่เป็นโลหะผสมอะลูมิเนียม อุตสาหกรรมเคมีที่ผลิตซิลิโคน และโรงไฟฟ้าแสงอาทิตย์ในภูมิภาคอาเซียนได้
สำหรับเซลล์แสงอาทิตย์ที่ใช้ในการแปลงแสงอาทิตย์ให้เป็นพลังงานไฟฟ้านั้น นายสมบูรณ์ กล่าวทิ้งท้ายว่า หากมีการใช้งานที่ถูกวิธีและการดูแลรักษาอย่างถูกต้องจะทำให้เซลล์แสงอาทิตย์ใช้งานได้นานถึง 20-30 ปี โดยไม่กระทบต่อสิ่งแวดล้อม นอกจากนี้ เซลล์แสงอาทิตย์เมื่อหมดอายุการใช้งานแล้วสามารถนำมาแยกชิ้นส่วนเป็นซิลิกอนกระจก และวัสดุอื่น ๆ นำไปรีไซเคิลเพื่อให้สามารถนำกลับมาใช้ประโยชน์ได้อีกครั้ง
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:รพ.ธรรมศาสตร์ ดีเดย์เปิดจ่ายไฟจากโซล่าร์รูฟ สู่ระบบอาคาร