ขอโทษชาวบ้านสักคำได้ไหม?
เหตุการณ์ทหารพรานยิงรถกระบะต้องสงสัยจนมีผู้เสียชีวิตถึง 4 ราย บาดเจ็บอีก 4 ราย และรอดคมกระสุนหวุดหวิด 1 คน ที่ ต.ปุโละปุโย อ.หนองจิก จ.ปัตตานี เมื่อคืนวันอาทิตย์ที่ 29 ม.ค.ที่ผ่านมานั้น เป็นอีกเหตุการณ์หนึ่งที่อาจกลายเป็น "น้ำผึ้งหยดเดียว" ที่สร้างกระแสความไม่พอใจและหวาดระแวงในหมู่ชาวบ้านที่มีต่อเจ้าหน้าที่รัฐโดยเฉพาะทหาร
เพราะฝ่ายทหารยืนกรานว่าพวกเขายิงสู้กับ "โจร" หรือ "กลุ่มติดอาวุธ" ขณะที่ฝ่ายชาวบ้านให้ข้อมูลอีกด้านหนึ่งว่าพวกเขาไม่ใช่ "โจร" แต่เป็นชาวบ้านที่กำลังรวมกลุ่มกันไป "ละหมาดศพ" ให้คนตายในอีกหมู่บ้านหนึ่ง
ย้อนดูคำแถลงและคำสัมภาษณ์ของฝ่ายความมั่นคง จะพบวิธีการทำงานแบบเดิมๆ ที่ยังไม่หลุดกรอบของการ "ทำสงคราม" ที่ต้องมีแพ้-ชนะ
พล.ต.อัคร ทิพโรจน์ ในฐานะโฆษก กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ยึดพื้นที่ข่าวได้อย่างน่าชื่นชม (?) เพราะสามารถทำให้สื่อทุกแขนง โดยเฉพาะวิทยุและโทรทัศน์เกือบทุกสถานีต้องรายงานข้อมูลจากปากของเขา
เป็นข้อมูลสุดระทึกที่บอกว่า "มีคนร้ายแฝงตัวอยู่ในกลุ่มชาวบ้าน" และ "คนร้ายใช้ผู้บริสุทธิ์เป็นโล่มนุษย์กำบังหลังก่อเหตุยิงถล่มฐานทหารพรานแล้วพยายามหลบหนี"
ขณะที่ พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง ที่เคยแถลงข่าวเรื่อยเจื้อยเรื่องกลุ่มก่อการร้าย "ฮิซบอลเลาะห์" เตรียมทำคาร์บอมบ์ในกรุงเทพฯ ก็ให้ข้อมูลตามที่ได้รับรายงานโดยไม่ต้องกลั่นกรองก่อนทำนองว่า ฝ่ายชาวบ้านที่ถูกยิงเป็นกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรงหรือพวกเดียวกับกลุ่มที่ก่อเหตุยิงถล่มฐานทหารพราน และในรถมีอาวุธสงครามจำนวนมาก
เมื่อผู้สื่อข่าวถามถึงคำชี้แจงของชาวบ้านที่ว่ากำลังเดินทางไปประกอบพิธีกรรมทางศาสนา พล.อ.ยุทธศักดิ์ ตอบทันทีว่า "เรื่องนี้เป็นข้ออ้าง ต้องมองว่าหากไปทำพิธีกรรมจริงทำไมจึงมีอาวุธสงครามอยู่ในรถยนต์จำนวนมาก อีกทั้งถ้าไม่ได้กระทำผิดจริงทำไมต้องหนี"
นี่คือท่าทีบางส่วนของเจ้าหน้าที่รัฐในบริบทของการต่อสู้ใน "สงครามข่าวสาร" และต้องการ "เอาชนะในสงคราม"
เป็นความพยายามเอาชนะทั้งๆ ที่ผู้คนในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ล้วนเป็นคนไทย แม้จะนับถือศาสนาต่าง ชาติพันธุ์ต่าง แต่ก็อยู่ร่วมแผ่นดินเดียวกัน
การด่วนสรุปเช่นนี้ ในพื้นที่ที่มีความอ่อนไหวอย่างยิ่งนี้ จักทำให้สถานการณ์คลี่คลายหรือลุกเป็นไฟ...วิญญูชนคงพอคาดการณ์ได้
ไม่น่าเชื่อว่าสถานการณ์ไฟใต้รอบใหม่ยืดเยื้อมายาวนานกว่า 8 ปี แต่ฝ่ายความมั่นคงโดยเฉพาะ "กองทัพ" ยังก้าวไม่พ้นกรอบคิดเดิม คือกรอบคิดในการ "เอาชนะในสงคราม" หาใช่กรอบคิดในการ "เอาชนะจิตใจ"
ข้อเท็จจริงที่รับตรงกันทุกฝ่ายก็คือ กระสุนที่ปลิดชีพชาวบ้าน 4 ราย และทำให้ชาวบ้านบาดเจ็บอีก 4 รายนั้น บางส่วนหรืออาจทั้งหมดเป็นกระสุนของทหารพราน...
แล้วทำไมจึงไม่ขอโทษชาวบ้านก่อน เหตุใดจึงไม่ขอโทษพี่น้องประชาชนสักคำ แล้วก็ตั้งคณะกรรมการสอบสวนค้นหาความจริงให้โปร่งใส เพราะอย่างน้อยก็มีผู้คนบาดเจ็บล้มตายสืบเนื่องจากปฏิบัติการของเจ้าหน้าที่
แทบไม่น่าเชื่อว่าในหมู่บ้านใกล้ๆ กันนี้ ห่างกันไม่ถึง 2 กิโลเมตร เมื่อราว 9 เดือนที่แล้วเพิ่งเกิดเหตุการณ์คล้ายคลึงกัน คือมีคนร้ายยิงฐานทหารพราน แล้วทหารก็ออกติดตามไล่ล่าคนร้าย จากนั้นก็ยิงวัยรุ่นตาย 2 คน
เจ้าหน้าที่อ้างว่าวัยรุ่นทั้งสองเป็นคนร้ายเพราะค้นเจอระเบิดในตัวผู้ตาย แต่ไม่มีชาวบ้านเชื่อคำอ้างนี้เลยสักคน
ผ่านมาแล้วเกือบปี ไม่มีการทำคดี ไม่มีการช่วยเหลือเยียวยา...
และแน่นอนว่าไม่มีแม้แต่คำขอโทษสักคำเช่นเคย!
----------------------------------------------------------------------------------------------------------------
หมายเหตุ : บางส่วนของบทความชิ้นนี้ตีพิมพ์ในคอลัมน์ "แกะรอย" หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ ฉบับวันอังคารที่ 31 ม.ค.2555 ด้วย
ภาพโดย : อับดุลเลาะ หวังหนิ