ม.มหิดล สำรวจพบเด็ก 2-6 ปี มีปัญหาพฤติกรรม EF บกพร่อง ถึง 30%
สสส.จับมือเครือข่ายพัฒนาทักษะสมองเพื่อชีวิตที่สำเร็จ เล็งสร้างเด็กไทยยุค 4.0 ผ่านการพัฒนาทักษะทางสมอง พบเด็ก 30% มีปัญหาพัฒนาการด้าน EF ล่าช้า มีปัญหาพฤติกรรมที่เป็นความบกพร่องของ EF “หุนหันพลันแล่น ขาดการยับยั้งชั่งใจ-มีปัญหาความจำ-ขาดการควบคุมอารมณ์” ด้านจิตแพทย์เด็กฯ ยัน IQ ไม่ได้การันตีความสำเร็จของมนุษย์ เปิดโลกศตวรรษที่ 21 ไม่เน้นจำ แต่เน้นการควบคุมตนเอง มุ่งสู่เป้าหมาย และยืดหยุ่นในวิธีคิด
เมื่อเร็วๆ นี้ ที่ศูนย์การประชุมอิมแพคฟอรั่ม เมืองทองธานี สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ร่วมกับภาคีเครือข่าย Thailand EF Partnership จัดการประชุมวิชาการ EF Symposium 2016 ปลูกฝังทักษะสมอง บ่มเพาะเด็กไทยยุค 4.0
นพ.วีระพันธ์ สุพรรณไชยมาตย์ รองประธานกรรมการกองทุน สสส. กล่าวถึงทักษะที่จำเป็นของคนไทยในยุค 4.0 ที่ทั่วโลกต้องการคือ การเรียนรู้ที่จะปรับตัวโดยเฉพาะเด็กเยาวชน และกลุ่มวัยแรงงานที่ต้องยอมรับการเปลี่ยนแปลงในยุคไอที การสร้างทักษะที่สำคัญเหล่านี้จำเป็นต้องวางรากฐานตั้งแต่ปฐมวัย หรือ 0-6 ปี โดยการพัฒนาทักษะสมองเพื่อชีวิตที่สำเร็จ หรือ Executive Function (EF) เป็นการทำงานระดับสูงของสมองในการเฝ้าตามดูและควบคุมอารมณ์ ความคิด และการกระทำ เพื่อกำกับตนเองให้เกิดพฤติกรรมที่มุ่งสู่เป้าหมายช่วยให้เด็กคิดเป็น ทำงานเป็น เรียนรู้เป็น แก้ไขปัญหาเป็น อยู่ร่วมกับผู้อื่นเป็น และหาความสุขเป็น ซึ่งต้องเน้นการเรียนรู้ด้วยการลงมือทำเพื่อให้เด็กมีโอกาสฝึกคิด วางแผน แก้ไขปัญหา สิ่งสำคัญคือควรคำนึงถึงการสร้างการเรียนรู้แก่เด็กตามความเหมาะสมของช่วงวัย โดยเฉพาะระดับปฐมวัยที่ไม่ควรเร่งเรื่องอ่านเขียน ซึ่งเป็นการกดทับทักษะด้านอื่น ๆ โดยเฉพาะทักษะความคิดสร้างสรรค์ การคิดวิเคราะห์ และแก้ไขปัญหา
รศ.ดร.นวลจันทร์ จุฑาภักดีกุล ศูนย์วิจัยประสาทวิทยาศาสตร์ สถาบันชีววิทยาศาสตร์โมเลกุล มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวถึงผลการสำรวจพัฒนาการทักษะสมองเพื่อชีวิตที่สำเร็จของเด็กวัย 2-6 ปี จากกลุ่มตัวอย่าง 2,965 คนทั่วทุกภาคของประเทศไทยในช่วงปี 2558-2559 ด้วยแบบประเมินพัฒนาการด้าน EF ในเด็กปฐมวัย พัฒนาโดยมหาวิทยาลัยมหิดล ภายใต้โครงการวิจัยที่สนับสนุนโดยสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) พบว่า ปัจจุบันมีเด็กวัย 2-6 ปีที่มีปัญหาพฤติกรรมที่เป็นความบกพร่องของ EF ประมาณ 30% คือเป็นเด็กที่มีความบกพร่องอย่างชัดเจน 16% และบกพร่องเล็กน้อย 14% ซึ่งใกล้เคียงกับจำนวนเด็กที่มีปัญหาพัฒนาการด้าน EF ล่าช้า คือพบประมาณ 29% โดยเป็นเด็กที่มีพัฒนาการด้าน EF ต่ำกว่าเกณฑ์อย่างชัดเจน 14% และต่ำกว่าเกณฑ์เล็กน้อย 15%
ทั้งนี้ทักษะสมองด้าน EF ที่เป็นปัญหามากเป็นอันดับ 1 คือ ปัญหาด้านการหยุด 2. ปัญหาด้านความจำขณะทำงาน และ3. ปัญหาการควบคุมอารมณ์ ซึ่งจะส่งผลด้านลบต่อความพร้อมและความสำเร็จทางการเรียนในระดับที่สูงขึ้นไป
รศ.ดร.นวลจันทร์ กล่าวอีกว่า การพัฒนาทักษะสมองเพื่อชีวิตที่สำเร็จจะช่วยลดปัญหาความล้มเหลวทางการเรียนหรือออกจากระบบการศึกษา ปัญหาพฤติกรรม และลดความเสี่ยงที่เด็กจะตัดสินใจผิดพลาดเช่น การใช้ยาเสพติด การตั้งครรภ์ในวัยเรียน เพราะการทำงานของสมองส่วนหน้าที่เข้มแข็งจะช่วยให้เด็กรู้จักคิดก่อนทำ ยับยั้งชั่งใจเพื่อกำกับตนเองสู่ความสำเร็จ ซึ่งการพัฒนาทักษะสมองเหล่านี้ควรบูรณาการในชีวิตประจำวันทั้งที่โรงเรียนและที่บ้าน แต่ปัญหาในขณะนี้ คือ ครูและพ่อแม่ยังขาดความเข้าใจ โดยเฉพาะการจัดการเรียนการสอนวัยเด็กเล็กที่ขาดสมดุลมุ่งเน้นวิชาการ เร่งเรียนเขียนอ่านก่อนวัย
"สมองของเด็กเล็กมีความพร้อมที่จะรับการฝึกทักษะ EF พื้นฐาน เช่น รู้จักหยุด ยืดหยุ่นทางความคิด และความจำขณะทำงานซึ่งเป็นฐานสำคัญที่ส่งเสริมให้เด็กมีทักษะ EF ระดับที่ยากขึ้นไปเช่น การคิดเป็นเหตุผล คาดการณ์ผลของการกระทำ การจัดการกับปัญหาที่ซับซ้อน การรับมือกับการเปลี่ยนแปลงได้ ดังนั้นการสอนและการประเมินเด็กวัยก่อนเรียนควรปรับเปลี่ยนให้สอดคล้องกับพัฒนาการด้านการคิดด้วยสมองส่วนหน้าของเด็ก เพราะความสามารถด้านวิชาการเพียงอย่างเดียวไม่ได้เป็นตัวยืนยันว่าเด็กจะประสบความสำเร็จเสมอไป"
ด้านนายแพทย์อุดม เพชรสังหาร จิตแพทย์เด็กและเยาวชน กล่าวถึงงานวิจัยการติดตามเด็กอัจฉริยะที่ทำมากว่า 80 ปี พบว่า IQ ไม่ได้การันตีความสำเร็จของมนุษย์ อีกทั้งโลกใหม่ในศตวรรษที่ 21 ไม่ได้เน้นเรื่องความจำ แต่เน้นเรื่องการควบคุมตนเอง การมุ่งสู่เป้าหมาย และยืดหยุ่นในวิธีคิด โดยทักษะสมองเพื่อชีวิตที่สำเร็จ หรือ EF จะตอบโจทย์ได้ดีที่สุด เพราะเป็นฐานการควบคุมตนเองและจัดระเบียบตนเอง เด็กที่มี EF สูงจะประสบความสำเร็จในชีวิต การทำงาน การเรียน ช่วยแก้ปัญหาด้านพฤติกรรม อาชญากรรม ยาเสพติด ติดโซเชียลมีเดีย การเพศสัมพันธ์ที่ไม่เหมาะสม
"หลายองค์กรในประเทศอเมริกา อังกฤษ ออสเตรเลีย รวมถึงมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียง อาทิ ฮาร์วาร์ด มอนทรีออล จอห์นฮอปกินส์ ได้หันมาให้ความสนใจและเปลี่ยนวิธีคิด โดยนำ EF เข้าไปปรับใช้ในหลักสูตรการเรียนการสอน ดังนั้นศูนย์พัฒนาเด็กเล็กและสถานศึกษาปฐมวัย หากไม่เริ่มต้นพัฒนาทักษะสมองตั้งแต่วัยนี้ เมื่อก้าวเข้าสู่ช่วงวัยรุ่นที่มีแรงอยากรู้ อยากเห็นเป็นตัวขับ โดย EF ยังพัฒนาไม่เข้มแข็งพอ โอกาสที่วัยรุ่นจะเสียหายก็มีสูง"