รัฐตั้งเป้าลดผู้ติดเชื้อดื้อยา 50% ภายในปี 2564 หลังพบสูญเสียทางศก.ปีละ 4.6 หมื่นล.
รัฐบาลตั้งเป้าลดจำนวนผู้ติดเชื้อแบคทีเรียดื้อยา 50% ภายในปี 2564 สสส.-กพย.- สธ.พัฒนาเครือข่ายใช้ยาปฏิชีวนะถูกวิธี เปิด 3 โรค ยอดฮิตความเชื่อที่ผิด “หวัด-ท้องเสีย-บาดแผล” ด้านมูลนิธิเพื่อผู้บริโภคจี้ถอดส่วนผสมยาต้านแบคทีเรียในยาอม-เครื่องสำอาง-แชมพู-สบู่
วันที่ 18 พ.ย. ที่อาคารศูนย์เรียนรู้สุขภาวะ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ ร่วมกับศูนย์วิชาการเฝ้าระวังและพัฒนาระบบยา (กพย.) จัดแถลงข่าวสัปดาห์รู้รักษ์ ตระหนักใช้ยาต้านแบคทีเรีย ประจำปี 2559
นพ.เกียรติภูมิ วงศ์รจิต รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า รัฐบาลให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหาเชื้อแบคทีเรียดื้อยาที่ส่งผลกระทบทางสุขภาพของประชาชน และยังทำให้เกิดความสูญเสียทางเศรษฐกิจทั้งทางตรงและทางอ้อมถึงปีละ 46,000 ล้านบาท จึงได้จัดทำแผนยุทธศาสตร์การจัดการการดื้อยาต้านจุลชีพประเทศไทย พ.ศ.2560-2564 โดยคณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบเมื่อวันที่ 17 ส.ค.ที่ผ่านมา เพื่อเป็นกรอบการทำงานร่วมกันในการลดป่วย ลดตาย และลดการสูญเสียทางเศรษฐกิจจากเชื้อดื้อยา โดยตั้งเป้าหมายภายในปี 2564 ที่จะลดการป่วยจากเชื้อดื้อยาลง 50% ลดปริมาณการใช้ยาต้านจุลชีพในคนลง 20% ลดปริมาณการใช้ยาต้านจุลชีพสำหรับสัตว์ลง 30% ประชาชนมีความรู้เรื่องเชื้อดื้อยาและตระหนักในการใช้ยาต้านจุลชีพอย่างเหมาะสมเพิ่มขึ้น 20% และระบบการจัดการการดื้อยาต้านจุลชีพมีสมรรถนะตามเกณฑ์สากล ไม่ต่ำกว่าระดับ 4
รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ในการประชุมระดับสูงเรื่องการดื้อยาต้านจุลชีพ ที่สำนักงานใหญ่องค์การสหประชาชาติ สหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 21 กันยายนที่ผ่านมา พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวถ้อยแถลงถึงการดำเนินนโยบายแก้ปัญหาการดื้อยาต้านจุลชีพว่า ต้องไม่กระทบการซื้อและเข้าถึงยาต้านจุลชีพทั้งชนิดเดิมและที่ค้นพบใหม่ รวมทั้งวัคซีน และเครื่องมือตรวจวินิจฉัย ขณะนี้สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา ได้เปิดรับฟังความเห็นในการยกเลิกรายการยาต้านจุลชีพจากการเป็นยาสามัญประจำบ้าน นอกจากนี้ตามแผนยุทธศาสตร์ภายในระยะเวลา 12 เดือน จะต้องมีประกาศปรับประเภทยาต้านจุลชีพ 1 ฉบับ และประกาศกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เรื่อง ควบคุมการผลิต ขาย ใช้ ยาผสมลงในอาหารสัตว์ 1 ฉบับ
ดร.นพ.บัณฑิต ศรไพศาล รองผู้จัดการ สสส. กล่าวว่า ในแต่ละปีคนไทยติดเชื้อแบคทีเรียดื้อยาประมาณ 88,000 คน เสียชีวิตจากเชื้อดื้อยาอย่างน้อยปีละ 20,000-38,000 คน ซึ่งมากกว่าผู้เสียชีวิตจากโรคหัวใจขาดเลือดและผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุการขนส่ง และยังส่งผลให้ผู้ป่วยที่ติดเชื้อดื้อยาต้องอยู่ในโรงพยาบาลโดยรวมนานขึ้น 3.24 ล้านวัน หรือเฉลี่ยคนละ 24-46 วัน สาเหตุที่ทำให้คนไทยมีผู้ป่วยเชื้อดื้อยาเพิ่มขึ้นมาจากพฤติกรรมการใช้ยาปฏิชีวนะที่ไม่สมเหตุสมผล
"พฤติกรรมที่มีส่วนทำให้เกิดเชื้อดื้อยา เช่น ซื้อยาปฏิชีวนะกินตามคนอื่น หยุดรับประทานยาปฏิชีวนะเมื่อมีอาการดีขึ้น ซื้อยาปฏิชีวนะกินเองตามที่เคยได้รับจากแพทย์ครั้งก่อนๆ ใช้ยาอมที่ผสมยาปฏิชีวนะ"
ด้านผศ.ภญ.ดร.นิยดา เกียรติยิ่งอังศุลี ผู้จัดการ กพย. กล่าวว่า พฤติกรรมการใช้ยาปฏิชีวนะไม่ถูกโรค ไม่ถูกวิธี ได้สร้างปัญหาเชื้อดื้อยาเพิ่มขึ้นจนอาจถึงขั้นวิกฤต กพย.จึงทำงานตรงไปที่บุคลากรทางการแพทย์และเภสัชกรในการใช้ยาอย่างสมเหตุสมผลในโรงพยาบาลชุมชน สำนักงานสาธารณสุขจังหวัด มากกว่า 30 จังหวัด รวมถึงในโรงพยาบาลของมหาวิทยาลัยให้มีการใช้ยาปฏิชีวนะอย่างสมเหตุผล พร้อมกับสนับสนุนการวิจัยผู้ป่วยหวัดและท้องเสียในเด็ก ซึ่งพบว่า ยาต้านแบคทีเรียไม่มีผลกระทบต่อการรักษาและได้ผลที่ดีกว่า การทำงานร่วมกับเครือข่ายเภสัชกรรมชุมชนในการให้คำแนะนำกับผู้บริโภค รวมถึงการให้ความรู้ความเข้าใจกับประชาชนในพื้นที่
ส่วนผศ.นพ.พิสนธิ์ จงตระกูล ประธานคณะทำงานสร้างเสริมความเข้มแข็งภาคประชาชนด้านการใช้ยาอย่างสมเหตุผล (สยส.) และ RDU Hospital Project กล่าวว่า ปัจจุบันบุคลากรทางการแพทย์จำนวนมากยังคงสั่งยาต้านแบคทีเรียให้กับ 3 โรคที่รักษาได้ โดยไม่ต้องใช้ยาปฏิชีวนะ ได้แก่ 1.โรคหวัด ไอ เจ็บคอจากไวรัส 2.ท้องร่วงและอาหารเป็นพิษ และ3.บาดแผลทั่วไป ทำให้ประชาชนมีความเชื่อที่ผิดว่า โรคเหล่านี้จำเป็นต้องใช้ยาต้านแบคทีเรียหรือยาแก้อักเสบ สยส.จึงรณรงค์ให้ประชาชนได้รับข้อมูลที่ถูกต้องว่า การใช้ยาปฏิชีวนะหรือที่เรียกกันอย่างผิด ๆว่า ยาแก้อักเสบในโรคติดเชื้อไวรัส ไม่เกิดประโยชน์ มีแต่โทษ และเน้นรณรงค์เพื่อแก้ไขความเชื่อที่ผิด เช่น “น้ำมูกเหลืองเขียวหมายถึงการติดเชื้อแบคทีเรีย” “เมื่อไม่สบายแม้เพียงเล็กน้อยก็ซื้อยาแก้อักเสบมากินกันไว้ก่อน” หรือ “ไข้สูง ปวดเมื่อยมากควรฉีดยา”ซึ่งล้วนส่งผลซ้ำเติมปัญหาเชื้อดื้อยาเพิ่มมากขึ้น
ทั้งนี้ รศ.ดร.จันทร์เพ็ญ วิวัฒน์ ประธานมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค กล่าวว่า มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค (มพบ.) เสนอให้เร่งรัดการเพิกถอนทะเบียนตำรับยา รูปแบบยา และข้อบ่งใช้ที่ไม่เหมาะสมต่างๆ เช่น ยาอมผสมยาต้านแบคทีเรียเพราะไม่ได้ผลในการรักษาและทำให้เชื้อดื้อยาต้านแบคทีเรีย ยกเลิกผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางประเภทสบู่ ครีมอาบน้ำ ยาสีฟัน เจลล้างมือที่ผสมสารเคมีฆ่าเชื้อ ได้แก่ ไตรโคลซานและสารอื่นๆ อีก 18 ชนิด ที่มีรายงานวิจัยยืนยันแล้วว่า สารเหล่านั้นทำให้เชื้อดื้อยาต้านแบคทีเรียเมื่อใช้เป็นเวลานาน ซึ่งองค์การอาหารและยา (FDA) แห่งสหรัฐอเมริกา ได้ยกเลิกการใช้แล้ว
นอกจากนี้ เครือข่ายผู้บริโภคขอเรียกร้องให้รัฐมีการควบคุมการใช้ยาต้านแบคทีเรียในปศุสัตว์ การเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ และการเกษตร ให้ใช้ยาได้เฉพาะการรักษาโรคเท่านั้น ห้ามใช้เพื่อการป้องกัน และเร่งการเจริญเติบโต และห้ามการปล่อยน้ำเสียจากการเลี้ยงสัตว์ลงสู่สิ่งแวดล้อมโดยไม่มีการบำบัด รวมถึงต้องมีการรณรงค์ให้ความรู้และข้อมูลที่ถูกต้องเกี่ยวกับการใช้ยาต้านแบคทีเรียแก่ผู้บริโภคอย่างต่อเนื่อง