พระราชสถานะ"พระเจ้าอยู่หัว"ช่วงเปลี่ยนรัชกาลที่ 5และ 6
ที่ประชุมได้แก้ปัญหาเรื่องการออกพระนาม โดยกรมหลวงเทววงศ์ทรงค้นในหนังสือแสดงกิจจานุกิจของเจ้าพระยาทิพากรวงศ์ (ขำ บุนนาค) ได้ความว่าเมื่อครั้งที่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชเสด็จสวรรคตแล้ว ได้เรียกพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยว่า “พระเจ้าอยู่หัวกรมพระราชวังบวร” (เพราะก่อนขึ้นครองราชย์ทรงมีตำแหน่งเป็นพระมหาอุปราช กรมพระราชวังบวรสถานมงคล) ทันทีโดยไม่ต้องรอถึงราชาภิเษก แต่เพราะในสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวเมื่อก่อนราชาภิเษกไม่ได้มีการออกพระนามว่า “สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว” ก็เลยกลายเป็นธรรมเนียมไป โดยในสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวและพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวต่างไม่มีการเรียกพระเจ้าแผ่นดินก่อนราชาภิเษกว่า “สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว”
หมายเหตุ : บทความเรื่อง พระราชสถานะ"พระเจ้าอยู่หัว"ช่วงเปลี่ยนรัชกาลที่ 5 และ 6 โพสต์บนเฟซบุ๊ก วิพากษ์ประวัติศาสตร์
-----
เมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จสวรรคตในวันที่ 23 ตุลาคม พ.ศ.2453 ในเวลานั้น องค์พระรัชทายาทคือสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราวุธ สยามมกุฎราชกุมาร หรือพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6
วันนั้นได้เกิดปัญหาขึ้นมาว่าควรจะออกพระนามของพระองค์ว่าอย่างไร ซึ่งได้มีความเห็นแตกออกเป็นสองฝั่ง
ฝั่งเจ้านายรุ่นใหม่อย่างกรมหมื่นนครไชยศรีสุรเดชซึ่งเป็นพระเชษฐาเห็นควรให้ออกพระนามว่า “พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว”
แต่เจ้านายรุ่นเก่าที่เป็นพระเจ้าน้องยาเธอของรัชกาลที่ 5 อย่างกรมหลวงเทวะวงศ์วโรปการ และกรมหลวงนเรศวรฤทธิ์ ทรงแย้งว่าตามธรรมเนียมเก่าต้องรอราชาภิเษกแล้วถึงจะเรียกว่า “พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว” ได้
กรมหมื่นนครไชยศรีจึงตรัสถามว่า “ถ้าเช่นนั้นแปลว่าในเวลานี้ไม่มีพระเจ้าแผ่นดินฉนั้นหรือ?”
เจ้านายรุ่นเก่าก็ตรัสอ้อมแอ้ม กรมหมื่นนครไชยศรีจึงทรงอ้างถึงธรรมเนียมของชาติตะวันตกว่า
“ธรรมเนียมเก่าจะเปนอย่างไรไม่ทราบ แต่ในสมัยนี้จะปล่อยลังเลไว้เช่นนั้นไม่ได้ ชาวต่างประเทศเขาจะเห็นแปลกนัก เพราะเปนธรรมเนียมที่รู้อยู่ทั่วกันในยุโรปว่าในประเทศที่มีลักษณะปกครองเป็นแบบราชาธิปตัย พระราชาต้องมีอยู่เสมอ จนมีแก่ธรรมเนียมในราชสำนัก เมื่อพระเจ้าแผ่นดินสวรรคตลงเมื่อใด ก็เปนน่าที่เสนาบดีกระทรวงวัง หรือผู้ที่เปนหัวน่าเสวก ออกมาร้องประกาศแก่เสนาบดีและข้าราชการผู้ใหญ่ว่า
“Messeigneurs et Messeieurs le Roi et Mort Vive le Roi”
(“ใต้เท้าทั้งหลายและท่านทั้งหลาย, สมเด็จพระเจ้าแผ่นดินสวรรคตแล้ว ขอให้สมเด็จพระเจ้าแผ่นดินทรงพระเจริญยิ่งๆ”)
ดังนั้น ในกลางดึกวันที่ 23 ตุลาคมจึงได้ไกล่เกลี่ยตกลงกันว่า ในประกาศภาษาไทยให้ออกพระนามว่า “สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช ผู้ทรงสำเร็จราชการแผ่นดิน” แต่ในหนังสือที่ส่งไปให้ทูตเป็นภาษาอังกฤษออกพระนามว่า “His Majesty the King”
แต่กรมหมื่นนครไชยศรีไม่ทรงยอมเรียกสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชว่าอย่างอื่นนอกจาก “พระเจ้าอยู่หัว” และด้วยเหตุที่ทรงเป็นผู้บัญชาการกรมยุทธนาธิการจึงทรงเกณฑ์ให้ทหารบกใต้บังคับบัญชาทั้งหมดเรียกขานตามพระองค์
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงบันทึกเกี่ยวกับกรมหมื่นครไชยศรีในช่วงการเชิญพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเข้าสู่พระบรมมหาราชวัง วันที่ 23 ตุลาคม พ.ศ.2453 ไว้ว่า
“เมื่อกระบวนจะออกเดิรนั้น กรมนครชัยศรีได้ส่งพระยาสุรเสนา (กลิ่น แสง-ชูโต), ซึ่งเวลานั้นเปนสมุหราชองครักษ์, ว่าให้จัดราชองครักษ์คน 1 ถือธงมหาราชตามเสด็จ “พระเจ้าอยู่หัว” ส่วนราชองครักษ์นั้นแบ่งให้เดิรตามพระบรมศพพวก 1 เดิรตามฉันพวก 1 และพวกที่เดิรตามฉันนั้นมีพระองค์กรมนครชัยศรีเองเปนอาวุโส, ชักกระบี่ทุกคน พอกระบวนเริ่มออกเดิร, กรมนครชัยศรีก็เรียกหาธงมหาราช, ปรากฏว่าไปเชิญเดิรตามพระบรมศพอยู่ กรมนครชัยศรีฉุนใหญ่, เดิรตรงขึ้นไปที่พระยาสุรเสนาและพูดว่า, “นี่แกไม่รู้จักพระเจ้าอยู่หัวของแกหรือ?”
พระยาสุรเสนาจะตอบว่ากระไรตอนนี้ฉันได้ยินไม่ถนัดแต่ก็เป็นอันกรมนครชัยศรีเรียกเอาคนถือธงมาเดิรตามหลังฉัน
ต่อมาภายหลังจึ่งได้ทราบจากตัวพระยาสุรเสนาเองว่า เมื่อเขาได้รับคำสั่งเรื่องธงนั้น เขาก็ได้สั่งผู้เชิญธงว่าให้เข้าริ้วเดิรตามหลังฉัน, แต่กรมหลวงนเรศร์บอกว่าผิด, ต้องไปเชิญตามพระบรมศพจึ่งจะถูก, เพราะ “สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชยังหาได้ราชาภิเษกไม่, จะเรียกว่าพระเจ้าอยู่หัวไม่ได้” ดังนี้
กรมนครชัยศรีจึ่งได้ตรัสว่า “เมื่อจะได้หรือไม่ได้ก็คอยถามดาบปลายปืนดูสิ”
หลังจากนั้นก็มีปัญหาจากการที่ใช้พระนามภาษาไทยไม่ตรงกับภาษาอังกฤษทำชาวต่างประเทศที่รู้ภาษาไทย โดยเฉพาะมิสเตอร์เย็นส์ ไอเวอร์สัน เว็สเต็นการ์ด (Jens Iverson Westengard ภายหลังได้เป็นพระยากัลยาราชไมตรี) ที่ปรึกษาราชการทั่วไป ทักท้วงว่าเป็นการไม่สมควร จะทำให้เกิดความเข้าใจผิดได้
ด้วยเหตุนี้เวลาบ่าย 5 นาฬิกา วันที่ 25 ตุลาคม จึงโปรดให้จัดประชุมพิเศษที่ท้องพระโรงมุขตะวันตกของพระที่นั่งจักรีมหาปราสาทโดยมีผู้เข้าร่วมประชุมเป็นพระราชวงศ์ชั้นผู้ใหญ่ได้แก่
- สมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมขุนพิษณุโลกประชานาถ เสนาธิการทหารบก
- กรมหลวงนเรศวรฤทธิ์ เสนาบดีกระทรวงโยธาธิการ
- กรมหลวงเทวะวงศ์วโรปการ เสนาบดีกระทรวงการต่างประเทศ
- กรมหลวงดำรงราชานุภาพ เสนาบดีกระทรวงมหาดไทย
- กรมขุนสรรพสิทธิประสงค์ เสนาบดีกระทรวงวัง
- กรมขุนสมมติอมรพันธุ์ ราชเลขาธิการ
- กรมหมื่นนครไชยศรีสุรเดช ผู้บัญชาการกรมยุทธนาธิการ
ที่ประชุมได้แก้ปัญหาเรื่องการออกพระนาม โดยกรมหลวงเทววงศ์ทรงค้นในหนังสือแสดงกิจจานุกิจของเจ้าพระยาทิพากรวงศ์ (ขำ บุนนาค) ได้ความว่าเมื่อครั้งที่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชเสด็จสวรรคตแล้ว ได้เรียกพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยว่า “พระเจ้าอยู่หัวกรมพระราชวังบวร” (เพราะก่อนขึ้นครองราชย์ทรงมีตำแหน่งเป็นพระมหาอุปราช กรมพระราชวังบวรสถานมงคล) ทันทีโดยไม่ต้องรอถึงราชาภิเษก
แต่เพราะในสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวเมื่อก่อนราชาภิเษกไม่ได้มีการออกพระนามว่า “สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว” ก็เลยกลายเป็นธรรมเนียมไป โดยในสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวและพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวต่างไม่มีการเรียกพระเจ้าแผ่นดินก่อนราชาภิเษกว่า “สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว”
(ทั้งนี้พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าฯ ทรงบันทึกไว้ว่าเพราะในสมัยพระจอมเกล้าฯ เมื่อพระนั่งเกล้าฯ เสด็จสวรรคตได้มีการรีบอัญเชิญให้ลาผนวชแล้วราชาภิเษกโดยเร็ว ส่วนในสมัยพระจุลจอมเกล้าฯ นั้น ทรงพระประชวรหนักอยู่จนคนพากันคิดว่าจะสวรรคตเสียก่อน จึงไม่มีการออกพระนามว่าสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว )
ดังนั้นที่ประชุมจึงตกลงกลับไปยึดอย่างครั้งพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ให้เรียกสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราวุธว่า “สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว” โดยไม่ต้องรอทำพระราชพิธีราชาภิเษก
เมื่อมีการตรากฎมณเฑียรบาลว่าด้วยการสืบราชสันตติวงศ์ พระพุทธศักราช 2467 จึงได้แก้ปัญหาเรื่องการเรียกขานพระยศ โดยกำหนดให้พระรัชทายาทเสด็จขึ้นครองราชย์สืบต่อทันทีเมื่อถึงเวลา ตามความในหมวด 3 มาตรา 6 ว่า
“เมื่อสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงสมมุติท่านพระองค์ใดให้เป็นพระรัชทายาทแล้ว และได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศข้อความให้ปรากฏแก่พระบรมวงศานุวงศ์ เสนามาตย์ ราชเสวกบริพารและอาณาประชาชน ให้ทราบทั่วกันแล้ว ท่านว่า ให้ถือว่าท่านพระองค์นั้นเป็นพระรัชทายาทโดยแน่นอนปราศจากปัญหาใด ๆ และเมื่อใดถึงกาลอันจำเป็น ก็ให้พระรัชทายาทพระองค์นั้นเสด็จขึ้นทรงราชย์สืบราชสันตติวงศ์สนองพระองค์สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกษโดยทันที ให้สมดังพระบรมราชประสงค์ที่ได้ทรงประกาศไว้นั้นแล”
ได้ปรากฏมาในสมัยหลัง เมื่อพระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกศสวรรคตแล้ว พระรัชทายาทจึงรับราชสมบัติต่อในฐานะ “สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว” และเมื่อผ่านพระราชพิธีบรมราชาภิเษกแล้ว ถึงขนานพระนามว่า “พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว”
เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นระบอบประชาธิปไตยใน พ.ศ.2473 และมีรัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศจึงได้มีบทบัญญัติเพิ่มเติมในรัฐธรรมนูญว่า การสืบราชสมบัตินอกจากให้พิจารณาตามกฎมณเฑียรบาลแล้ว ต้องประกอบด้วยความเห็นชอบของรัฐสภาด้วย
ต่อมามีบัญญัติในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2493 ว่าการสืบสันตติวงศ์นั้นจะต้องผ่านกระบวนการทางรัฐสภาก่อน คือเมื่อพระเจ้าแผ่นดินเสด็จสวรรคต ต้องให้องคมนตรีเสนอพระนามผู้สืบสันตติวงศ์ต่อรัฐสภาเพื่อขอความเห็นชอบ เมื่อรัฐสภาเห็นชอบจึงให้ประธานสภาอัญเชิญองค์ผู้สืบราชสันตติวงศ์ขึ้นทรงราชย์เป็นพระมหากษัตริย์สืบไป โดยในระหว่างที่ยังไม่มีประกาศองค์ผู้สืบราชสันตติวงศ์ จะให้ประธานองคมนตรีเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ไปพลางก่อน
ภายหลังในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2534 จึงเปลี่ยนรูปแบบเพิ่มเติมคือ ในกรณีที่ไม่มีการสถาปนาพระรัชทายาท ก็ให้องคมนตรีเสนอพระนามผู้สืบสันตติวงศ์ต่อรัฐสภาเพื่อขอความเห็นชอบเหมือนในรัฐธรรมนูญฉบับก่อนๆ
ส่วนในกรณีที่มีการสถาปนาพระรัชทายาทไว้แล้วคณะรัฐมนตรีแจ้งให้ประธานรัฐสภาทราบ และให้ประธานรัฐสภาเรียกประชุมรัฐสภาเพื่อรับทราบ และให้ประธานรัฐสภาอัญเชิญองค์พระรัชทายาท ขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์สืบต่อ
กระบวนการนี้ใช้สืบต่อมาถึงปัจจุบัน ดังปรากฏในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 หมวด 2 มาตรา 23 วรรคหนึ่ง ความว่า
“ในกรณีที่ราชบัลลังก์หากว่างลงและเป็นกรณีที่พระมหากษัตริย์ได้ทรงแต่งตั้งพระรัชทายาทไว้ตามกฎมณเฑียรบาลว่าด้วยการสืบราชสันตติวงศ์ พระพุทธศักราช 2467 แล้ว ให้คณะรัฐมนตรีแจ้งให้ประธานรัฐสภาทราบ และให้ประธานรัฐสภาเรียกประชุมรัฐสภาเพื่อรับทราบและให้ประธานรัฐสภาอัญเชิญองค์พระรัชทายาทขึ้นทรงราชย์เป็นพระมหากษัตริย์สืบไป แล้วให้ประธานรัฐสภาประกาศให้ประชาชนทราบ”
-----------------------------------------------------
เอกสารอ้างอิง
- ประวัติต้นรัชกาลที่ 6. ราม วชิราวุธ
- กฎมณเฑียรบาลว่าด้วยการสืบราชสันตติวงศ์ พระพุทธศักราช 2467 (https://th.wikisource.org/…/กฎมณเฑียรบาลว่าด้วยการสืบราชสัน…)
- รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 (https://th.wikisource.org/…/รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย_พุ…)
- รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2534
(https://th.wikisource.org/…/รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย_พุ…)
- รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2490 (http://law.longdo.com/law/125/rel126)
ภาพประกอบ
- พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเครื่องบรมราชภูษิตาภรณ์ ทรงฉายเมื่อคราวพระราชพิธีพระบรมราชาภิเษกสมโภช พ.ศ.2454
- จอมพล พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจิรประวัติวรเดช กรมหลวงนครไชยศรีสุรเดช