ทัวร์ศูนย์เหรียญ กล้าปราบวันนี้เพื่ออนาคต
มีการประเมินว่า นักท่องเที่ยวจีนจะมีการใช้จ่ายราว 48,000 บาทต่อหัว และทำให้เกิดการจ้างงาน บริการที่พัก การบริโภคอาหาร เครื่องดื่มจำนวนหนึ่ง แต่จากข้อมูลที่ปรากฎจะเห็นว่า รายได้ส่วนใหญ่ตกอยู่กับบริษัทจีน รองลงมาคือนักธุรกิจใหญ่ของไทย
ฟังข้อมูลเกี่ยวกับทัวร์ศูนย์เหรียญหรือทัวร์คิกแบคแล้วทำให้เข้าใจว่า ถ้ารัฐบาลไม่จัดการวันนี้ วันต่อไปการท่องเที่ยวจะยิ่งถูกผูกขาดและตกต่ำลงเรื่อยๆ ผู้ประกอบการรายใหม่ไม่มีทางเกิด รายได้จะตกกับพ่อค้าจีนและคนไทยเพียงไม่กี่คน และในที่สุดคนจีนที่รักจะมาเที่ยวเมืองไทยก็จะเบื่อหน่ายจนลดจำนวนลง
ขาใหญ่ในวงการ
ทุกวันนี้มีคนไทย 4 ตระกูลใหญ่ที่ควบคุมกลไกและมีรายได้มหาศาลจากธุรกิจท่องเที่ยว โดยสามรายหากินกับทัวร์ศูนย์เหรียญโดยตรง มีเพียง “คิงส์ พาวเวอร์” รายเดียวที่เน้นร้านค้าปลอดภาษี
คนจีนได้มาเปิดบริษัททัวร์ในกรุงเทพและเมืองท่องเที่ยวสำคัญ เช่น ภูเก็ต พัทยา เชียงใหม่ เชื่อมโยงธุรกิจฝั่งจีนและไทย ตั้งแต่การขนคนมาเที่ยว จัดโปรแกรมท่องเที่ยว ที่กิน ที่พัก ที่ใช้จ่าย แต่รู้กันว่าคนพวกนี้เป็นคนจีนที่ “สวมบัตรประชาชนไทย” และใช้คนไทยเป็นนอมินี
หากินกันอย่างไร
เพื่อให้ได้ลูกค้าจำนวนมากบริษัทใหญ่จะแย่งลูกทัวร์กัน โดยการตกเขียว คือ ซื้อโควต้ากันล่วงหน้าเป็นรายหัวและมีการ “จ่ายเงินโบนัส” ให้อีกเมื่อบริษัททัวร์ในจีนรายใดส่งลูกทัวร์มาให้ครบตามโควต้า เช่น หนึ่งแสนคน จะแถมเงินให้อีก 10 ล้านบาท เป็นต้น ที่ประเทศจีนเขาขายแพคเกจทัวร์มาเที่ยวไทย 4 – 5 วัน ราคาแค่ 5 พันถึงหมื่นห้าเท่านั้นเอง รวมตั๋วเครื่องบิน ที่พัก อาหารพร้อม
รายได้ของบริษัทพวกนี้มาจากการจัดโปรแกรมให้ลูกทัวร์ไปใช้จ่ายในแหล่งต่างๆ โดยประมาณว่า สินค้าที่เขาขายกัน 100 บาท จะแบ่งให้บริษัทจีน 30 บาท ให้ไกด์นำเที่ยว 30 บาท ที่เหลือ 40 บาทเป็นของบริษัทไทย โดยแบ่งเป็นต้นทุน 20 บาทและอีก 20 บาทเป็นกำไร (มีกำไรเท่าตัว)
ดังนั้นเราจึงเห็นข่าวการร้องเรียนจากนักท่องเที่ยวจีนไปยังรัฐบาลของเขาว่า พวกเขาถูกเอาเปรียบ ได้เที่ยวน้อยและโดนข่มขู่ต้มตุ๋นให้ซื้อสินค้าคุณภาพต่ำหรือปลอมแปลงแต่ราคาแพงลิบลิ่วและจำนวนมากยังนำเข้าจากจีนอีกด้วย
คาดว่าปีนี้จะมีนักท่องเที่ยวจีนมาไทยถึง 7.5 ล้านคน แต่ประมาณว่ามีเพียงร้อยละ 20 เท่านั้นที่เดินทางมาท่องเที่ยวกันเอง พวกนี้มีกำลังซื้อสูง สร้างและกระจายรายได้อย่างเป็นกอบเป็นกำให้กับคนไทย
ลูกทัวร์ที่น่าสงสาร
การนำเที่ยวจะไปตามจุดตามโปรแกรมที่บริษัทกำหนดไว้อย่างเข้มงวด ว่าต้องไปที่ไหน ซื้อของที่ไหนกินที่ไหน ทัวร์พวกนี้จะถูกวางตารางเดินทางตั้งแต่เช้ายันดึกดื่น เน้นที่เที่ยวหลักที่มีค่าใช้จ่ายต่ำ เช่น วัด วัง ชายหาด แต่เน้นพาไปแหล่งช้อปปิ้งในเครือข่าย ทั้งร้านจิวเวลรี่ ร้านหมอนยางพารา ร้านของฝากของที่ระลึก รวมถึงวัตถุมงคลตามที่ตกเป็นข่าวการผูกสัมปทานวัดดังในภูเก็ต เป็นต้น พาเข้าสถานบริการที่ต้องจ่ายเงินเพิ่ม เช่น โชว์สาวประเภทสอง นวดแผนโบราณ การช้อปปิ้งนอกโปรแกรมจะถือเป็นความผิดร้ายแรง ยกเว้นขนม - เครื่องดื่ม ของจุกจิกข้างถนน
ไกด์นำเที่ยวจีน (ไกด์ผี) จะต้อง “ซื้อลูกทัวร์” จากบริษัทใหญ่หัวละ 2,000 บาท ต้องเป็นผู้จ่ายเบี้ยเลี้ยงและทิปให้คนขับรถเอง ดังนั้นหากวันไหนที่เขาได้ลูกทัวร์ที่ไม่ยอมเป็นเหยื่อซื้อของตามโปรแกรม ไกด์จะลงโทษลูกทัวร์โดยไม่ยอมให้ขึ้นรถ กินข้าวช้า ตัดรายการท่องเที่ยวหรือทิ้งลูกทัวร์ก็เคยมี
ผลประโยชน์ การแก่งแย่งและการโกง
นักธุรกิจใหญ่ของไทยจะพยายามผูกขาด ลดต้นทุน กดค่าจ้างสารพัด สมาคมรถบัสรับจ้างภูเก็ตยังออกมาร้องเรียนว่า ทุกวันนี้พวกเขาได้ค่าจ้างต่ำและมีงานน้อยมาก สาเหตุเพราะบริษัททัวร์มีรถของตัวเอง ดังที่มีข่าวการยึดรถบัสของบริษัทใหญ่รายเดียวกว่า 2 พันคัน ในแต่ละวันบริษัทนี้จะจ้างรถมาใช้งานอีกประมาณวันละ 600 คัน ดังนั้นหากเฉลี่ยรถหนึ่งคันรับลูกทัวร์ 30 คน เท่ากับว่าบริษัทนี้มีลูกค้าวันละประมาณ 80,000 คน (เอาไปนั่งที่สนามรัชมังคลาฯ หัวหมาก เต็มพอดี)
มีการประเมินว่า นักท่องเที่ยวจีนจะมีการใช้จ่ายราว 48,000 บาทต่อหัว และทำให้เกิดการจ้างงาน บริการที่พัก การบริโภคอาหารและเครื่องดื่มจำนวนหนึ่ง ซึ่งหมายถึงเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจหลายแสนล้านบาทต่อปี แต่จากข้อมูลที่ปรากฎจะเห็นว่า รายได้ส่วนใหญ่ตกอยู่กับบริษัทจีน รองลงมาคือนักธุรกิจใหญ่ของไทย โดยที่ธุรกิจเอสเอ็มอีและไกด์คนไทยแทบไม่ได้รับประโยชน์อะไรเลย แต่การที่แหล่งท่องเที่ยวอยู่ในสภาพแออัด ธรรมชาติเสื่อมโทรมมากจนนักท่องเที่ยวดีๆ หนีหายไป ทำให้ต้องมาทบทวนกันว่า ถ้าปล่อยไปอย่างนี้ในระยะยาวการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจของไทยได้คุ้มกับที่เสียไปหรือไม่
จัดระเบียบใหม่เพื่อประโยชน์ของชาติในวันข้างหน้า
ฟังมาว่า บริษัทของคนจีนที่โดนจับที่ภูเก็ตเป็นคู่แข่งกับรายใหญ่ที่กรุงเทพ แต่นักธุรกิจใหญ่จากกรุงเทพต้องการแย่งอาณาเขตจากคนจีนที่ภูเก็ต เมื่อมีการจับกุมจนเป็นข่าวใหญ่โตมีหน่วยงานเกี่ยวข้องมากมาย ทำให้มีการขยายผลเชื่อมโยงคดีออกไป สุดท้ายกลายเป็นว่า ไฟที่ตนไปเผาบ้านเพื่อนได้ลามมาติดบ้านตัวเอง รายใหญ่เมืองกรุงจึงโดนหลักฐานเล่นงานไปด้วย เพราะมีพฤติกรรมหลายอย่างคล้ายกัน
งานนี้ใหญ่แค่ไหนคงเอาตัวไม่รอดเพราะเรื่องมันดังและสร้างปัญหามานานจนถึงเวลาที่รัฐบาลพลเอกประยุทธ์ต้องเอาจริง
ตามข่าวปรากฎว่า ทั้งสองกลุ่มที่โดนจับกุมแล้วกำลังถูกตรวจสอบอยู่หลายคดี ตั้งแต่การเลี่ยงภาษีนำเข้ารถ 2 พันกว่าคันที่เขาสั่งซื้อมาจากจีน หลีกเลี่ยงภาษีโดยแจ้งรายได้ต่อสรรพากรต่ำกว่าจริงมาก มีการลักลอบนำเข้าสินค้า ฟอกเงิน หลบหนีเข้าเมือง ปลอมแปลงเอกสารและคงมีอีกหลายคดีตามมา
การปราบทัวร์ศูนย์เหรียญครั้งนี้คงไม่ได้แปลว่า เราไม่ต้อนรับทัวร์จีน แต่เป็นการจัดระเบียบใหม่ให้เหมาะสมและเป็นธรรมกับทุกฝ่ายโดยเฉพาะกับนักท่องเที่ยวเอง เชื่อว่าจะทำให้คนจีนยิ่งรักการมาเที่ยวเมืองไทยมากขึ้น ทุกวันนี้ยังมี “ทัวร์ศูนย์เหรียญเกาหลี” ที่มีพฤติกรรมทำนองเดียวกับทัวร์จีนเพียงแต่ยังไม่เป็นข่าวใหญ่ แต่อย่าเผลอปล่อยให้ขบวนการมันใหญ่โตเกินควบคุมก็แล้วกัน