ประเทศไทยรวม(หลาย)เลือดเนื้อ(เป็น)ชาติเชื้อไทย
ประเทศไทยรวม(หลาย) เลือดเนื้อ (แล้วกลายเป็น) ชาติเชื้อไทย จากราชวงศ์ที่อยู่สูงสุด ลงมาที่ตระกูลขุนนางเดิม ลงมาที่คนชั้นสูง ชั้นกลาง และสามัญชนในสมัยนี้ ล้วนได้หลอมรวมหลายเลือดเนื้อเชื้อชาติไว้ด้วยกัน แล้วกลั่นกลายกลมกลืนกันเป็นชาติไทยหรือสัญชาติไทยเดียวกัน
ศ.ดร. เอนก เหล่าธรรมทัศน์ โพตส์บทความในเฟซบุ๊คส่วนตัว เอนก เหล่าธรรมทัศน์ AnekLaothamatas เรื่อง ประเทศไทยรวม(หลาย)เลือดเนื้อ(เป็น)ชาติเชื้อไทย
----------
คนไทยนั้นแทบทั้งหมดมาจากหลายเลือดเนื้อหลายเชื้อชาติแล้วจึงกลายเป็น"ชาติเชื้อ"ไทย เรามีบรรพบุรุษที่หลากหลายอย่างไม่น่าเชื่อ
วันก่อนคุยกับ ดร.สุรินทร์ พิศสุวรรณ และ ดร.พิจิตต รัตตกุล เราเล่าภูมิหลังให้กันฟังอย่างภาคภูมิใจและอดพิศวงในความหลากหลายทางชาติพันธ์ของคนไทยไม่ได้
ดร.สุรินทร์ เล่าว่า ผู้ใหญ่ในครอบครัวของท่านยืนยันว่ามีเลือดเปอร์เซียปนอยู่ในตระกูลแน่ บรรพบุรุษท่านนั้นอพยพจากอิหร่านเข้ามาอยู่ที่เคดะห์เมื่อสองร้อยปีที่แล้ว ต้องเข้าใจว่าตอนนั้นเคดะห์ยังเป็นส่วนหนึ่งของสยาม ครอบครัวท่านต่อมาย้ายจากที่นั่นมาอยู่นครศรีธรรมราช และในสายตระกูลท่านยังมีบรรพสตรีที่เป็นจีนเข้ามาเติมด้วย ก็คงคล้ายกับตระกูลบุนนาค ตระกูลบุญญรัตกลิน ตระกูลจุฬารัตน์
ดร.พิจิตต ยิ้มพลางเล่าพลางว่าทางปู่ทางพ่อของท่านก็เป็นจีน แต่คุณแม่ของท่านนั้นเดิมอยู่ตราด เป็นเชื้อสายเขมร แต่ผสมกลมกลืนกับมอญ ฉะนั้นท่านก็มาจากหลายชาติเชื้อเหมือนกัน คล้าย กับ "แกงโฮะ" อาหารดังของภาคเหนือ ทำให้พวกเราหัวเราะโยกคลอนไปทั้งตัว
ผมก็เติมให้ว่าของผมทางปู่ทางพ่อเป็นจีนเหมือนกัน จีนแคะ ครับ แต่แม่ผมสิน่าสนใจกว่าอีก ท่านมีแม่เป็น"ไทยอง" หรือ"ไทลื้อ" บรรพชนทางยายผมนั้นเดิมอยู่ที่ "สิบสองปันนา"กัน แต่ถูกสยามและล้านนาต้อนพามาอยู่ลำพูน ซึ่งภาษา"ไทยอง" นั้น ฟังแล้วดูจะอยู่กลางๆระหว่างภาษา"อีสาน"กับ"ล้านนา" ครับ
ดร.พิจิตต เลยเสริมว่า ตระกูลขุนนางเก่าเช่น "ปันยารชุน" ก็มักเป็น "ไฮบริด" คุณอานันท์เคยเล่าว่าพ่อท่านเป็นลูกหลานมอญ ส่วนแม่ของท่านมีสายเลือดจีน อยู่ในตระกูล"โชติกเสถียร" บรรพบุรุษเป็นชาวจีนแคะเหมือนกัน
ผมขยายความว่าแถบที่เราอยู่กันอันมีพม่า มอญ สยาม ลาว เขมร มลายู อยู่ใกล้กันนั้น มีผู้คนอยู่น้อยมากในอดีต ล้วนขาดแคลนประชากร ขาดแคลนกำลังคน ตั้งแต่ครั้งอดีต สงครามแถบนี้จึงเป็นศึกตีเมือง เพื่อแย่งชิงเอาผู้คนจากเมืองแพ้ กวาดต้อนคนจากที่อื่นมาอยู่ในบ้านเมืองตนเอง สยามนั้นก่อนอื่นนั้นก็อพยพเข้ามาอยู่ในดินแดนเดิมของลัวะ ขอม มอญ จึงกลมกลืนผสมผสานกับคนเหล่านี้ อยู่แล้ว
ต่อมาสยามยังทำศึกสงครามกับพม่า ลาวเขมร มลายู หลายครั้งชนะ ก็ต้อนพาคนเหล่านี้เข้ามาอยู่ในเมืองของตน ชาวสยามนั้นมีทั้งที่เป็นไท ไต ลาว ซึ่งเป็นคนในภาษาที่ใกล้เคียงกัน แต่ว่าแม้แต่ชาวชนบทไทยนั้น เอาเข้าจริง ก็ดูเป็น"ลูกผสม" มากกว่าเป็น "ไทยแท้" เช่นกัน
คนอีสานตามหมู่บ้านนั้นมีความเป็นลาวปนกับเขมรไม่น้อย (ก่อนคนไทจะลงมา แต่เดิมเขมรนั้นอยู่และปกครองอีสานเกือบทั้งหมด) คนเหนือตามหมู่บ้านนั้นมีความเป็นล้านนา ซึ่งชาวล้านนาพื้นเมืองนั้นแต่เดิมสยามถือเป็นลาวเหมือนกัน แต่เลือดเนื้อคนเหนือนั้นก็ผสมกับลัวะเจ้าถิ่นเดิมและผสมมอญเจ้าถิ่นเดิม ผสมกับพม่าที่มาตีและปกครองหรือเข้ามาตัดไม้ และผสมกับไต(ไทใหญ่) มิใช่น้อย
คนภาคกลางและภาคตะวันตกนั้นก็มีเลือดจีนมอญลาวปนอยู่ในชนบทมากแม้แต่เลือดมลายูก็ปนอยู่ไม่น้อยทีเดียว คนภาคใต้นั้น มีความเกี่ยวโยงกับมลายูและอินเดียลังกาบ้าง และยัง มีเลือดเนื้อจีนชาวสวนเดิมในชนบทแทรกอยู่ไม่น้อย ยิ่งบรรดาเมืองทางฝั่งอันดามันนั้นแม้แต่คนในชนบทเองก็มีเลือดจีนมากเป็นพิเศษเพราะบรรพชนมาจากฮกเกี้ยนมาทำสวนยางและขุดดีบุกที่นั่นตั้งแต่คนปักษ์ใต้พื้นเมืองเดิมแทบไม่มีใครอาศัยอยู่ใน "เมือง" ของเรานั้นง่ายที่จะเห็นคนไทยเชื้อสายจีน อินเดีย ปากีสถาน ฝรั่ง อิสลาม แต่ต้องย้ำว่า
แม้แต่ชาวไทยในหมู่บ้านตำบลที่ดูเป็น "ชนบท" นั้นที่จริงก็แทบจะไม่มี"ไทยแท้"หรือ "ไทยบริสุทธิ"
พวกเราแทบทุกคนมาจากหลายเลือดเนื้อแล้วกลมกลืนหรือกลืนกลายกันเป็นชาติเชื้อและสัญชาติ"ไทย" แต่เราภูมิใจและใช้ประโยชน์จากภูมิหลังอันหลากหลายของเราได้
แม้ในราชวงศ์จักรีที่รวบรวมคนสยามและครองแผ่นดินสยามมามากกว่าสองร้อยปีแล้ว เป็นตระกูลที่เป็นสัญลักษณ์และสาระของ "ความเป็นไทย" หรือความเป็น "ชาติไทย" ที่สุด แต่บรรพชนของราชวงศ์เองก็มีเลือดมอญอยู่ เป็นที่ทราบกันดีตั้งแต่ปลายยุคอยุธยาแล้ว และยังมีเลือดชาวจีน เลือดชาวเปอร์เซีย และสายเลือดชาวมุสลิมเข้ามาผสมผสานอยู่เป็นระยะๆ
เลือดเปอร์เซียในราชวงศ์นั้นน่าจะเห็นได้ง่าย เพราะสายฝ่ายหญิงนั้นมาจากคนในตระกูล "บุนนาค" ไม่ใช่น้อย
สายจีนนั้น ยกเพียงเจ้าจอมเปี่ยมในรัชกาลที่สี่นั้นก็พอ ท่านเป็นลูกจีน อยู่ตระกูล "สุจริตกุล" เป็นพระมารดาของสมเด็จพระนางเจ้าสว่างวัฒนาซึ่งทรงเป็น "สมเด็จย่า" ของในหลวงนั่นเอง
ส่วนสายมุสลิมนั้น ขอยกเพียงเจ้าจอมมารดาเรียม พระมารดาในรัชกาลที่สามก็พอแล้ว ท่านมีเชื้อสายฝ่ายแม่เป็นมุสลิมมลายูสายสุหนี่จากตระกูลสุลต่านสุลัยมานสงขลา
แหละนี่ก็คือความมหัศจรรย์ของบ้านเมืองเรา : ประเทศไทยรวม(หลาย) เลือดเนื้อ (แล้วกลายเป็น) ชาติเชื้อไทย จากราชวงศ์ที่อยู่สูงสุด ลงมาที่ตระกูลขุนนางเดิม ลงมาที่คนชั้นสูง ชั้นกลาง และสามัญชนในสมัยนี้ ล้วนได้หลอมรวมหลายเลือดเนื้อเชื้อชาติไว้ด้วยกัน แล้วกลั่นกลายกลมกลืนกันเป็นชาติไทยหรือสัญชาติไทยเดียวกัน
ปัจฉิมลิขิต: เห็นจะยังจบไม่ได้ ถ้าไม่บอกว่าพระเจนดุริยางค์ ผู้แต่งเพลงชาติไทยให้เราร้องเมื่อเชิญธงชาติขึ้นสู่ยอดเสาคราใด ท่านก็หาใช่ "ไทยบริสุทธิ์" เป็นเยอรมันครับ เมื่อครั้งยังเรียนอยู่ที่ รร อัสสัมชัญ นั้น ชื่อ ปีเตอร์ ไฟท์
หมายเหตุ : ขอบคุณภาพ ดร.สุรินทร์ พิศสุวรรณ และ ดร.พิจิตต รัตตกุล จากผู้จัดการออนไลน์