แพร่ทางการ! ป.ป.ช.ยกคำร้อง‘จรัญ’ คดีเปลี่ยนองค์คณะปราสาทพระวิหาร
ป.ป.ช. แพร่มติทางการ ยกคำร้องกรณีกล่าวหา ‘จรัญ หัตถกรรม’ คดีเปลี่ยนองค์คณะตุลาการศาล ปค.สูงสุด-ส่งคืนสำนวน ในการพิจารณาคดีปราสาทพระวิหาร ยันองค์คณะฯที่ 2 ยังไม่ได้วินิจฉัย การสละคดีโดยอ้างว่ามีคดีค้างเยอะทำได้โดยชอบ ไม่มีรายงานพิจารณาเรื่องดังกล่าวในแฟ้มสำนวน
จากกรณีคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) มีมติ 5 ต่อ 4 ยกคำร้อง กรณีกล่าวหานายจรัญ หัตถกรรม อดีตหัวหน้าคณะตุลาการศาลปกครองสูงสุด กรณีใช้อำนาจหน้าที่เปลี่ยนองค์คณะตุลาการศาลปกครองสูงสุดในการพิจารณาคดีปราสาทพระวิหาร และส่งคืนสำนวนโดยมิชอบ โดยเบื้องต้นคณะอนุกรรมการไต่สวนฯ เคยเสนอสำนวนต่อที่ประชุมคณะกรรมการ ป.ป.ช. แล้ว โดยยกคำร้องกรณีกล่าวหานายอักขราทร เนื่องจากพยานหลักฐานไม่เพียงพอ จึงเหลือเพียงนายจรัญ ที่ถูกกล่าวหาอยู่เพียงรายเดียว ซึ่งกรณีนี้คณะกรรมการ ป.ป.ช. ใช้ระยะเวลาไต่สวนนานกว่า 7 ปี และไม่ได้เผยแพร่มติอย่างเป็นทางการแก่สาธารณะแต่อย่างใดนั้น
(อ่านประกอบ : หวั่นแตกแยก! ป.ป.ช.มติ 5-4 ยกคำร้อง‘จรัญ’คดีเปลี่ยนองค์คณะปราสาทพระวิหาร, ป.ป.ช. อุ้มศาลปกครอง ?:กรณีแทรกแซงคดีปราสาทพระวิหาร”)
ล่าสุด สำนักข่าวอิศรา www.isranews.org ตรวจสอบพบว่า คณะกรรมการ ป.ป.ช. เผยแพร่มติดังกล่าวอย่างเป็นทางการแล้ว ระบุว่า คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติเมื่อวันที่ 16 มิ.ย. 2559 โดยให้ข้อกล่าวหานายจรัญตกไป เนื่องจากข้อเท็จจริงในการไต่สวน น่าเชื่อว่า คดีดังกล่าว องค์คณะฯที่ 2 ยังไม่ได้มีมติวินิจฉัยคำร้องแต่อย่างใด ดังนั้นการที่นายจรัญ ได้ทำบันทึกลงวันที่ 13 ส.ค. 2551 กราบเรียนประธานศาลปกครองสูงสุด (นายอัขราทร จุฬารัตน ขณะนั้น) เพื่อขอสละสำนวน โดยให้เหตุผลว่า มีคดีค้างพิจารณาอยู่เป็นจำนวนมาก อาจทำให้การพิจารณาคดีล่าช้าได้ ตามมาตรา 56 วรรคสาม (3) แห่ง พ.ร.บ.จัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ.2542 จึงเป็นการดำเนินการตามขั้นตอน และวิธีการสละสำนวนคดีโดยชอบด้วยกฏหมายแล้ว
ประกอบกับสำนักงานศาลปกครองได้มีหนังสือลงวันที่ 8 ม.ค. 2558 ถึงคณะกรรมการ ป.ป.ช. ยืนยันว่า ไม่มีรายงานกระบวนการพิจารณาเรื่องดังกล่าวอยู่ในแฟ้มเอกสารสำนวนดังกล่าวแต่อย่างใด ดังนั้นตามพฤติการณ์ของผู้ถูกกล่าวหา จึงฟังไม่ได้ว่ากระทำความผิดตามข้อกล่าวหา เห็นควรให้ข้อกล่าวหาตกไป (ดูรายละเอียดประกอบ)
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กรณีนี้คณะผู้พิทักษ์ความเป็นธรรมในศาลปกครองทำหนังสือร้องเรียนประธาน ป.ป.ช.ลงวันที่ 27 กรกฎาคม 2553 ว่ามีการเปลี่ยนองค์คณะพิจารณาคดีปราสาทพระวิหารโดยมิชอบด้วยกฎหมายจากคณะที่ 2 ซึ่งมีนายจรัญ หัตถกรรม เป็นหัวหน้าคณะ มาเป็นคณะพิเศษ(คณะที่ 1)ที่มีนายอัขราทร เป็นหัวหน้าคณะ โดยคดีดังกล่าว สืบเนื่องจากคณะรัฐมนตรีนายสมัคร สุนทรเวช มีมติ ครม. เมื่อวันที่ 17 มิถุนายน 2551 สนับสนุนการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกของประเทศกัมพูชา
แต่กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย(พธม.)ยื่นฟ้อง ครม.นายสมัครและกระทรวงการต่างประเทศต่อศาลปกครองกลางเพื่อให้เพิกถอนมติ ครม.ที่สนับสนุนให้มีการออกแถลงการณ์สนับสนุนการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก ซึ่งศาลปกครองกลางมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวมิให้นำมติ ครม.ไปดำเนินการใด ๆ
ครม.นายสมัคร จึงอุทธรณ์คำสั่งศาลปกครองกลางต่อศาลปกครองสูงสุด ซึ่งครั้งแรก(วันที่ 1 สิงหาคม 2551) นายอัขราทร จุฬารัตน ประธานศาลปกครองสูงสุด(ขณะนั้น)ได้สั่งให้จ่ายสำนวนให้แก่องค์คณะศาลปกครองสูงสุดคณะที่ 2 ซึ่งที่มีนายจรัญ หัตถกรรม เป็นหัวหน้าคณะและเป็นเจ้าของสำนวน องค์คณะอีก 4 คนประกอบด้วย นายชาญชัย แสวงศักดิ์, นายเกษม คมสัตย์ธรรม, นายวราวุธ ศิริยุทธ์วัฒนา และนายธงชัย ลำดับวงศ์
แต่ ในวันที 13 สิงหาคม 2551 นายจรัญได้ทำบันทึกส่งคืนสำนวน(สละสำนวน)ให้แก่นายอักขราทรโดยอ้างว่า ตนมีคดีค้างพิจารณาเป็นจำนวนมาก อาจทำให้การพิจารณาล่าช้า ซึ่งเป็นไปตาม พ.ร.บ.จัดตั้งศาลปกครอง มาตรา 56(3) ทั้งๆที่องค์คณะที่มีนายจรัญ เป็นหัวหน้าคณะได้มีมติไม่รับเรื่องไว้พิจารณาแล้ว ดังนั้นการสละสำนวนของนายจรัญ จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย
จากนั้น นายอักขราทรได้สั่งให้จ่ายสำนวนให้แก่คณะที่ 1 (มีตุลการจำนวน 7 คนประกอบด้วย มี ประธานศาลปกครองสูงสุด และตุลาการหัวหน้าคณะในศาลปกครองสูงสุด เป็นองค์คณะ)มีนายอักขราทรเป็นหัวหน้าคณะ ปรากฏว่า องค์คณะที่ 1 มีคำสั่งยืนตามศาลปกครองกลาง ซึ่งเป็นการเปลี่ยนผลของการพิจารณาคดีแตกต่างไปจากคณะของนายจรัญ
ทั้งนี้ จากการไต่สวนของอนุกรรมการไต่สวน มีพยานหลักฐานว่า หลังจากที่นายอัขราทรสั่งจ่ายสำนวนคดีปราสาทพระวิหารครั้งแรกเมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2551 ให้แก่องค์คณะที่ 2 ซึ่งมี่นายจรัญ เป็นหัวหน้าคณะแล้ว นายจรัญได้มอบหมายให้นายชาญชัย แสวงศักดิ์ ตุลการศาลปกครองสูงสุด พิจารณาความเห็นเกี่ยวกับคดีปราสาทพระวิหารประกอบการพิจารณาขององค์คณะที่ 2 จนกระทั่งองค์คณะมีมติ 3 ต่อ 2 เสียง ให้กลับคำสั่งของศาลปกครองกลาง ไม่รับคดีไว้พิจารณา โดยฝ่ายเสียงข้างมากได้แก่ นายชาญชัย แสวงศักดิ์ นายวราวุธ ศิริยุทธ์วัฒนา และนายธงชัย ลำดับวงศ์
ขณะที่ยังไม่ลงนามในคำสั่งครบทั้งองค์คณะ ก็มีคำสั่งเปลี่ยนมาใช้องค์คณะฯที่ 1 ซึ่งมีนายอักขราทร จุฬารัตน ประธานศาลปกครองสูงสุดขณะนั้น เป็นหัวหน้าคณะเป็นผู้พิจารณาแทน และมีคำสั่งเมื่อวันที่ 11 กันยายน 2551 ยืนตามคำสั่งของศาลปกครองกลาง
ประเด็นที่ อนุกรรมการไต่สวนพิจารณาคือ การสละหรือการคืนสำนวนของนายจรัญทั้งๆที่มีการลงมติแล้ว น่าจะเป็นการฝ่าฝืนระเบียบและกฎหมายที่เกี่ยวข้อง เพราะองค์คณะมีการพิจารณาคดีนี้ไปแล้ว การสละสำนวนจึงไม่สามารถทำได้น่าจะเป้นการฝ่าฝืนพ.ร.บ.จัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครองฯ มาตรา 56 ที่ระบุว่า ต้องจ่ายสำนวนตามความเชี่ยวชาญขององค์คณะ และ/หรือแบ่งตามพื้นที่ความรับผิดชอบขององค์คณะ และ/หรือ จ่ายสำนวนโดยไม่อาจคาดหมายได้ล่วงหน้า เมื่อจ่ายสำนวนแล้ว ห้ามเรียกคืนหรือโอนสำนวน เว้นแต่ทำตาม
1.ตามระเบียบที่ประชุมใหญ่ศาลปกครองสูงสุด เช่น เมื่อปรากฏเหตุใดๆ ที่กระทบกระเทือนต่อความยุติธรรม
2.เมื่อตุลาการหรือองค์คณะถูกคัดค้าน
3.เมื่อตุลาการหรือองค์คณะ มีคดีค้างจำนวนมาก อาจทำให้การพิจารณาคดีล่าช้า
อ่านประกอบ :
'จรัญ'โดน-'อักขราทร'รอด! คดีเปลี่ยนองค์คณะปราสาทพระวิหาร ป.ป.ช.สรุป พ.ย.
เปิดบันทึก"ลับ"ตุลาการฯมัด"บิ๊ก"ศาล ปค. เปลี่ยนองค์คณะคดีพระวิหาร?