โรงเรียนอัสสัมชัญของผม
ทว่า กฏใดๆ ย่อมมีข้อยกเว้นเสมอ ผมเองก็พยายามออกจากกรอบเหล่านี้ในวัยต้นและกลางของชีวิต แต่มาบัดนี้เมื่ออายุมากขึ้นครัน ก็แปลกใจที่พบว่า ดีเอ็นเอ แบบ "อัสสัมชัญ" นั้นฝังลึกมากในจิตวิญญาณของตัวเอง ถอนตัวยาก...
ศ.ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ โพตส์บทความในเฟซบุ๊กส่วนตัวเรื่อง โรงเรียนอัสสัมชัญของผม
---------
เมื่อจบจากชั้น มศ.3 อัสสัมชัญลำปางนั้น ผมตั้งใจจะไปสอบเข้า โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา กับ โรงเรียนอัสสัมชัญ ต้นฉบับของเครือ อัสสัมชัญ-เซนต์คาเบรียล-มงฟอร์ต-เซนต์หลุยส์ แต่แล้วเมื่อสอบเข้าได้ที่อัสสัมชัญ พลันถูกสะกดด้วยเกียรติประวัติอันยาวนานและดูดด่ำฉ่ำชื่นกับสามตึกสำคัญ คือ ตึกเก่า ตึกกอลมเบต์ และตึกสุวรรณสมโภช จนไปสอบเข้าโรงเรียนเตรียมต่อไปไม่ไหว
อันที่จริง ผมเหมือนกับเป็นนักเรียนอยู่ที่นี่กับเขามานานมากแล้ว น่าจะตั้งแต่ชั้นประถมปลาย เพราะเหตุที่สนใจและดูดซับเรื่องราวต่างๆ อันน่าชื่นชมของโรงเรียนนี้จาก สุลักษณ์ ศิวรักษ์ ศิษย์เก่าที่เป็นนักเขียนนักคิดที่ปลายปากกาคมกริบที่สุดในยุคนั้น มากทีเดียว
เจ้าพระยาท่านสุดท้ายของไทยเราคือนักเรียนเก่าอัสสัมชัญครับ เจ้าพระยาศรีธรรมาธิเบศ พระยาอนุมานราชธนผู้แปลได้จนเหมือนรจนาเอง "กามนิต วาสิฏฐี" ก็เป็นนักเรียนเก่าโรงเรียนนี้ พระยาศรีวิสารวาจา ซึ่งก่อนหน้า 24 มิถุนายน 2475 กำลังร่างรัฐธรรมนูญถวายพระปกเกล้าฯ อยู่นั้น ก็เป็นศิษย์อัสสัมชัญ
ยิ่งกว่านั้น พระยามโนปกรณ์นิติธาดา ประธานคณะกรรมการราษฎร เทียบเท่านายกรัฐมนตรีท่านแรกในระบอบรัฐธรรมนูญ ก็ใช่นักเรียนอัสสัมชัญครับ โรงเรียนอัสสัมชัญนั้นมีกำเนิดเมื่อปี 2428 และภายในเวลาเพียง 47 ปี ก็ถึงขั้นมีลูกศิษย์ก้าวขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรีคนแรกของประเทศได้
เรื่องราวของสถาบันและบทบาทของผู้คนจำนวนมากที่เป็นผลผลิตของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์อธิบายการเมืองไทยหลังปี 2475 ถึง 2519 ได้มากแค่ไหน เรื่องราวและบทบาทของนักเรียนเก่าอัสสัมชัญในช่วง 2428-2516 ก็สะท้อนอย่างมีสีสันได้ฉันนั้นถึงความพยายามในการปรับเปลี่ยนตัวเองของราชาธิปไตย และ ความพยายามของคณะราษฎรและคณะทหารและพลเรือนต่างๆ ในการสถาปนาระบอบใหม่ขึ้นมาหลังปี 2475
พระจุลจอมเกล้าฯ ผู้เป็นใหญ่ในแผ่นดินในเวลานั้น ทรงมีพระเมตตาธิคุณต่อพระชาวฝรั่งเศส มิได้ทรงรังเกียจเดียดฉันท์ว่าฝรั่งอยากมาทำโรงเรียนให้เด็กไทย แม้ว่าเวลานั้นฝรั่งกำลังล่าอาณานิคมอยู่ทั่วเอเชีย ในปี 2428 ที่เปิดโรงเรียนอัสสัมชัญนั้น ปรากฏว่าอังกฤษกำลังจะทำสงครามครั้งที่สามกับพม่า และเมื่อทางโรงเรียนเริ่มจะก่อสร้าง "ตึกเก่า" นั้น พม่าทั้งประเทศตกอยู่ใต้การปกครองของอังกฤษแล้ว ส่วนฝรั่งเศสชาติกำเนิดของคุณพ่อกอลมเบต์นั้นเล่า มีอิทธิพลเหนือลาวและกัมพูชาไปแล้ว และล่าสุด ในปี 2427 ก็เพิ่งจะผนวกดินแดนส่วนใหญ่ของเวียดนามเข้าไปในจักรวรรดิ
ทั้งอังกฤษและฝรั่งเศสนั้น จึงในขั้นต่อไปย่อมล้วนหมายขยายเขตอิทธิพลเข้ามาในไทยให้มากขึ้น
ก็ในสิ่งแวดล้อมระหว่างประเทศอย่างนี้เอง ที่พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระราชทานพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์อุดหนุนโรงเรียน และยังทรงโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชเจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ เสด็จทรงวางศิลาฤกษ์อาคารหลังแรกที่เรียกกันต่อมาว่า"ตึกเก่า"
สมเด็จพระบรมโอรสาฯพระองค์แรกของสยามนี้ทรงเป็นพระราชปิตุลา "ลุง" แท้ๆ ของในหลวงองค์ปัจจุบัน ทรงเสด็จมาโรงเรียนโดยประทับเรือกลไฟ มีกรมหมื่นดำรงราชานุภาพขณะนั้นทรงเป็นอธิบดีกรมศึกษาธิการพาบาทหลวงกอลมเบต์ไปรับเสด็จที่ท่าน้ำ และเชิญเสด็จมายังโรงเรียนอีก ห้าปีต่อจากนั้น กรมหมื่นดำรงราชานุภาพ จะได้รับโปรดเกล้าฯ ขึ้นเป็นเสนาบดีกระทรวง "ฝ่ายเหนือ" ซึ่งกระทรวงนี้ต่อมาจะเปลี่ยนชื่อเป็น"มหาดไทย" และนำประเทศสยามก้าวไปสู่การปกครองแบบเทศาภิบาล
นักเรียนเก่าอัสสัมชัญ ความที่ภาษาอังกฤษและฝรั่งเศสดีเยี่ยม ได้เข้าไปรับราชการจนได้เป็นพระยาหลายท่าน กระทั่งได้เป็นเจ้าพระยาคือ เจ้าพระยาศรีธรรมาธิเบศ นักเรียนแผนกฝรั่งเศสของโรงเรียนในยุคแรกนั้น ได้เข้าไปเรียนและช่วยงานหรือไปสอนในโรงเรียนกฏหมายกระทรวงยุติธรรมของรัฐบาลสมบูรณาญาสิทธิราชย์อยู่หลายท่าน ในจำนวนนี้ย่อมรวมถึง ดิเรก และ ไพโรจน์ ชัยนาม ด้วย
แม้แต่การร่างรัฐธรรมนูญสำคัญที่พระปกเกล้าฯ ทรงหวังไว้ว่าจะนำพาสยามไปสู่ประชาธิปไตย โดยไม่ต้องมีใครก่อการจากข้างล่างขึ้นมา ก็มีนักเรียนเก่าอัสสัมชัญคือพระยาศรีวิสารวาจาเข้าไปร่างร่วมกับที่ปรึกษาชาวฝรั่ง
นักเรียนอัสสัมชัญยังได้สนองพระเดชพระคุณเป็นองคมนตรีหลายท่าน ทั้งในปลายสมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์ และตลอดมา ทั้งจนถึงในสมัยปัจจุบัน รวมแล้วมีศิษย์ที่เคยเป็นและเป็นองคมนตรีอยู่ถึง 15 ท่าน ในนี่มีรวมถึงท่านที่เคยเป็นประธานองคมนตรี และบันทึกไว้เป็นประวัติการณ์ ยังมีศิษย์ที่เคยเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ถึง 2 ท่าน
อาจจะเป็นด้วยเหตุนี้ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวเมื่อครั้งยังทรงเป็นเจ้าแผ่นดินผู้ทรงสมบูรณาญาสิทธิ์ จึงเสด็จพระราชดำเนินเป็นการส่วนพระองค์มาเยี่ยมชมโรงเรียนแห่งนี้ เป็นเกียรติประวัติยิ่งใหญ่ที่พวกเราชาว เอซี (AC คำย่อของ Assumption College) ภูมิใจไม่ลืมเลือน เหมือนดังความรู้สึกปลาบปลื้มที่สืบทอดกันมาว่า ณ กาลครั้งหนึ่ง สยามมกุฏราชกุมารพระองค์แรกทรงพระกรุณาเสด็จมาทรงเป็นสักขีพยานในการก่อกำเนิดของโรงเรียน
รัชกาลที่ 8 เอง แม้จะเสด็จครองราชย์ไม่นานและทรงประทับศึกษาในต่างประเทศเกือบตลอดเวลา แต่เมื่อมีพระบรมราชวโรกาสเสด็จเยี่ยมราษฎรและโบสถ์อัสสัมชัญแถบบางรักย่านกรุงเก่า ก็ทรงพระกรุณาเป็นพิเศษเสด็จมาโรงเรียนอัสสัมชัญ เป็นการส่วนพระองค์
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระองค์นี้ทรงเสด็จพระราชดำเนินมาโรงเรียนอัสสัมชัญถึงสามครั้ง สำหรับโรงเรียนเอกชนของนักบวชฝรั่งนั้น นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณหาที่สุดมิได้ ครั้งสำคัญที่สุดคือเมื่อครั้งเสด็จพระราชดำเนินมาเปิดตึก "ฟ ฮีแลร์" เมื่อปี 2515 ซึ่งตอนนั้นผมกำลังเรียนจะจบชั้น มศ 5 จึงได้เฝ้ารับเสด็จอยู่ในท่ามกลางมหาสมาคมของอัสสัมชนิก (บางทีเราเรียกนักเรียนเก่าอัสสัมชัญว่า "อัสสัมชนิก")ใหญ่น้อยทั้งหลาย
หลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 จนถึง 2516 เป็นช่วงเวลาที่นักเรียนเก่าอัสสัมชัญจะทยอยกันเข้าไปเป็นกำลังสำคัญของระบอบใหม่อย่างเห็นได้ชัดเจนมาก แทบจะไม่มี ครม. ชุดใดจะไม่มีนักเรียนเก่าอัสสัมชัญอยู่ในนั้น ในช่วงนี้ นายกรัฐมนตรีนอกจากท่านแรกคือพระยามโนปกรณ์แล้ว ยังมี ม.ร.ว. เสนีย์ ปราโมช ที่บินจากวอชิงตันมาเป็นนายกรัฐมนตรีให้กับประเทศที่เพิ่งแพ้สงครามโลก มีนายควง อภัยวงศ์ ผู้คัดค้านนายกรัฐมนตรีจอมพล ป พิบูลสงครามอย่างไม่หวาดเกรงและกล้าขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีทันที เมื่อจอมพลผู้มากด้วยบารมีในหมู่ทหารลาออกกลางสภา สุดท้ายยังมีนายกรัฐมนตรีพระราชทาน สัญญา ธรรมศักดิ์ ผู้มาทำให้บ้านเมืองเปลี่ยนผ่านเข้าสู่ประชาธิปไตยได้หลังเหตุการณ์ "14 ตุลาคม 2516"
เลขาคณะกรรมการกฤษฎีกาในยุคต้นถึงยุคกลางหลังจากเปลี่ยนแปลงการปกครอง คนหนึ่งก็คือ เดือน บุนนาค อีกคนคือ หยุด แสงอุทัย และสักยี่สิบปีที่แล้ว อมร จันทรสมบูรณ์ ทั้งหมดนี้ก็คือผลผลิตของ รร อัสสัมชัญ
โรงเรียนอัสสัมชัญยังผลิต "รัฐบุรุษ" ทางการทูตและการต่างประเทศผู้นำพาประเทศฝ่าภยันตรายจากสงครามและความขัดแย้งระหว่างประเทศ จนทุกวันนี้คนก็ยังไม่ลืมหลายท่าน ที่สำคัญที่สุดเห็นจะเป็นสองท่าน ดิเรก ชัยนาม และ ถนัด คอมันตร์ รายแรกนำสยามผ่านสงครามโลกครั้งที่สองมาได้อย่างหวุดหวิด แทบไม่เสียหายอะไรเลย รายหลังนำไทยผ่านสงครามเย็นช่วงที่ร้อนที่สุดและยังเป็น "บิดา" ของอาเซียนด้วย
พรรคประชาธิปัตย์ พรรคเก่าแก่ที่สุดอายุเจ็ดสิบปี จะชอบหรือไม่ชอบ ก็ต้องยอมรับว่ามีความเป็นสถาบันไม่น้อยทีเดียว พรรค "คลาสสิก" นี้ มีนักเรียนเก่าอัสสัมชัญเป็น"หัวหน้า" เสียหลายท่านครับ ควง อภัยวงศ์ ม.ร.ว. เสนีย์ ปราโมช พันเอกพิเศษ ถนัด คอมันตร์ สำหรับเลขาธิการพรรค เล็ก นานา นี่ก็ใช่นักเรียนอัสสัมชัญ อ้อ สุดท้ายนี่หัวหน้าอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ รายนี้คุณพ่อคือ ศ.นพ. อรรถสิทธิ์ เป็นอดีตนักเรียนอัสสัมชัญครับ
พูดไปอย่างนี้แล้ว กลัวจะทำให้เกิดไม่ปรองดองกันโดยไม่จำเป็น ต้องรีบบอกว่าอีกหลายๆ พรรคก็มีศิษย์อัสสัมชัญอยู่ โดยเฉพาะพรรคเพื่อไทยนั้น มีโภคิน พลกุล และ กิตติรัตน์ ณ ระนอง เป็นต้น นี่ก็แลล้วนเป็นลูกศิษย์เก่าผู้ภาคภูมิใจในสำนักศึกษาดั้งเดิมอัสสัมชัญเช่นกัน ส่วน ทักษิณ ชินวัตร นั้น บอกไปแล้ว มาจาก "มงฟอร์ต" รร ในต่างจังหวัดโรงแรกของเครือ อยู่ในสถานะเดียวกับ ธารินทร์ นิมมานเหมินท์แห่งพรรคประชาธิปัตย์ นี่ก็ชาวมงฟอร์ต เช่นกัน
นักเรียนเก่าอัสสัมชัญยังมีบทบาทในการสร้างมหาวิทยาลัยในช่วงแรกๆ จนถึงช่วงกลาง หลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 ที่เห็นเด่นชัดที่สุดคือที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ในขณะที่ ศ ปรีดี พนมยงค์ เป็นผู้ประศาสน์การนั้น ภารกิจในการบริหารจริงๆ เป็นของ ศ เดือน บุนนาค ท่านผู้นี้เป็นอัสสัมชนิกครับ ในธรรมศาสตร์นั้นเรามีอธิการบดีสามท่านทียกขึ้นเป็นปูชนียบุคคล ปรีดี สัญญา ป๋วย ซึ่งสองในสามนี้ คือ ศ สัญญา ธรรมศักดิ์และ ศ ป๋วย อึ๊งภากรณ์ นั้น หาใช่ใครอื่น หากคือนักเรียนเก่าอัสสัมชัญ ที่พวกเราทั้งปวงเทิดทูนเป็นวีรบุรุษมานานโขเช่นกัน
อธิการบดีของจุฬาฯในยุคหนึ่งที่นานมากคือจอมพลประภาส จารุเสถียร คนในจุฬาฯท่านแรกที่ขึ้นไปแทนท่านจอมพลในตำแหน่งนี้ คือ นักเรียนเก่าอัสสัมชัญผู้มีนาม ศ อรุณ สรเทศน์ อธิการบดีท่านแรกๆ ของมหาวิทยาลัยมหิดลดำรงตำแหน่งถึง 8 ปี ก็คือ ศ นพ กษาณ จาติกวณิช ศ นพ อรรถสิทธิ์ เวชชาชีวะ อธิการบดีคนสำคัญอีกท่านหนึ่ง และเพิ่งพ้นจากตำแหน่งไม่นานนี้เอง ศ นพ ปิยะสกล สกลสัตยาทร ล้วนเป็นศิษย์เก่าอัสสัมชัญ
ในวงการบริหารราชการก็มีนักเรียนเก่าอัสสัมชัญนามกระเดื่อง ป๋วย อึ๊งภากรณ์ ในฐานะผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ชื่อนี้ไม่มีวันจางหายไป และล่าสุด ประสาร ไตรรัตน์วรกุล ผู้ว่าการอีกท่านหนึ่งที่พ้นจากตำแหน่งไม่นาน นี่ก็เป็นชาวอัสสัมชัญ รุ่นก่อนผมสองรุ่น ครับ
อัสสัมชนิกที่ยิ่งใหญ่เป็นเทคโนแครต ระดับ ดร. ป๋วย อีกท่าน เห็นจะเป็น "ซูเปอร์เค" เกษม จาติกวณิช ผู้นำ-ผู้บริหาร และมือโปรตัวจริง ที่ทำให้เขื่อนยักษ์ระดับโลก เขื่อน "ภูมิพล" เมกะโปรเจคแรกของไทยเมื่อห้าสิบปีที่แล้ว สร้างได้สำเร็จ ท่านผู้นี้ยังเป็นผู้ว่าการก่อตั้งการไฟฟ้าฝ่ายผลิต และต่อมายังเป็นผู้นำในการสร้าง "ไทยออยล์" และ "บางจาก" ขึ้นมาได้
ผมอยู่อัสสัมชัญสองปี สั้นๆ แต่จุใจ คือปี 2513-15 ก่อนหน้าผมไปเป็นสิบปี คงจะไม่เคยมีนักเรียนจากอัสสัมชัญลำปางมาต่อมัธยมปลายที่อัสสัมชัญบางรัก หรือ อัสสัมชัญกรุงเทพฯ (เรียกอย่างนี้เพื่อแยกแยะออกจากอัสสัมชัญอื่นๆ แต่ชื่อทางการของโรงเรียนที่บางรัก หรือ กทม นี้ คือ รร อัสสัมชัญ จุดจบประโยค) เมื่อเพื่อนใหม่ที่นี่เห็นผมครั้งแรก บางคนพึมพำ "เฮ้ย เด็กเหนือ เด็กลำปางโว๊ย" ในใจอาจพูดต่อ "วิ่งมาดูกันหน่อย"
ทั่วไปผมเข้ากับเพื่อนที่บางรักได้ดี มีกันอยู่สองห้องเองในสายวิทย์ หนึ่งห้องเองในสายศิลป์ มีครูประจำชั้นทั้งมศ 4 และ 5 เป็นบราเดอร์หนุ่มใหญ่ บราเดอร์วิจารณ์ ทรงเสี่ยงชัย กับบราเดอร์พยุง ประจงกิจ การศึกษาดีมากจากต่างประเทศ สอนภาษาอังกฤษดีเยี่ยมทั้งคู่ มีบราเดอร์ชาวอินเดียอีกท่านสอนตรีโกณมิติ สอนอะไรจำไม่ได้แล้ว
ยุคนั้นนักเรียนใกล้ชิดกับอธิการมาก บราเดอร์หลุยส์ ชาแนล ท่านอุตส่าห์ลงมาสอนเรขาคณิต ท่านสอนเก่งมากระดับประเทศ แต่สิ่งที่โดดเด่นที่สุดของอธิการหลุยส์คือการนำ ท่านเห็นการณ์ไกล แต่ท่านดุที่สุด กลัวพ่อกลัวแม่กลัวเสือไม่มีทางเทียบกับกลัวท่าน เทรดมาร์คคือ พูดน้อยสอนเก่ง ด่าเก่ง พูดจาโฮกฮาก ตีเจ็บมาก ลงโทษสารพัดหลากหลายรูปแบบ ผมเอง เด็กเก่งเด็กดี ก็เคยโดยท่านจับกร้อนผมมาแล้ว ข้อหาอะไรจำไม่ได้แล้ว
น่าสังเกต นักเรียนและครูธรรมดาๆ นั้นเอาเข้าจริงล้วน "ฉลาด" และรู้ "ราคาของ" ทั้งนั้น หากจะยกระดับโรงเรียนจำต้องส่งคนเก่งคนดีคนน่าเชื่อถือมาเป็นหัวหน้าครับ คนตามนั้นไม่โง่ เขารู้คุณค่าของ "หัวหน้า" เสมอ ท่านจะดุอย่างไร กระโชกโฮกฮากอย่างไร ครูนักเรียนทั้งโรงเรียนเคารพ มองเข้าไปเห็นหัวใจและมันสมองของท่านและเชื่อฟังท่านมาก เชื่อมั่นว่าท่านเก่ง ทั้งบริหารทั้งสอนนะครับ
บราเดอร์หลุยส์อบรมนักเรียนอย่างขะมักเขม้นทั้งโรงเรียนทุกอาทิตย์ ท่านจะพูดสั้นๆ ยกตัวอย่างดี พรำ่สอน ปลุกนักเรียนทั้งหลายให้ "ตื่นเถิดเปิดตาหาความรู้" ตามที่ปรมาจารย์บราเดอร์ฮีแลร์สอน ลุก ตื่น ขึ้นมาสู้ มาใฝ่สูง มามองไกล มีความเพียร มีวิริยภาพ "Labor Omnia Vincit" พยายามเอาหลักธรรมหรือคำสอนของพระเจ้าหรือพระศาสดาทุกศาสนายึดเหนี่ยว เอาตัวอย่างศิษย์เก่าเอซี รุ่นพี่รุ่นพ่อรุ่นปู่ บรรดาที่คนไทยรู้จักชื่นชมกันดีมาเล่า เล่าแล้วเล่าอีก จงคิดถึงครอบครัว วงศ์ตระกูล โรงเรียน และบ้านเมือง นั่นคือสาส์นจากอธิการ
อธิการหลุยส์ ชาแนลนั้น ท่านจะเน้นการสร้างบุคลิกภาพ (แคแรคเตอร์) ให้นักเรียนด้วย จำได้แม่นว่าวิชาที่ท่านตั้งใจสอนเองเกือบทุกวันวันละสิบห้านาที นอกจากเรขาคณิตที่สอนสองครั้งๆ ละชั่วโมงก็คือวิชา "Morals" นั่นเอง ใช้ตำราฝรั่งเล่มหนึ่งสอน จึงในสมัยท่านเป็นอธิการในครั้งนั้น โรงเรียนอัสสัมชัญได้เน้นสนับสนุนนักเรียนให้ทำกิจกรรมกันยกใหญ่เพื่อสังคม ส่งเสริมนักเรียนจาก "เมืองกรุง" ไปสู่ต่างจังหวัดหรือชนบท ไปเรียนรู้และช่วยชาวบ้านในการพัฒนา
นับเป็นอีกช่วงก้าวหนึ่งที่สำคัญมากของโรงเรียน ซึ่งนักเรียนเก่าอัสสัมชัญในช่วงนั้น จะกลายมาเป็นนายกสโมสรนิสิตจุฬาลงกรณมหาวิทยาลัยติดต่อกันถึงสี่คน อย่างน่าพิศวง เริ่มจาก ประสาร ไตรรัตน์วรกุล ต่อด้วย อภัยชนม์ วัชรสินธ์ุ เกื้อ วงศ์บุญสิน และ เอนก เหล่าธรรมทัศน์ เป็นอันว่าสี่ปีจาก 2516 ถึง 2519 อันสำคัญยิ่งของจุฬาฯ และการเมืองไทยนั้น จะมี วีรกร คำประกอบ ศิษย์เก่าสวนกุหลาบมาคั่นไว้ไม่กี่เดือนในฐานะนายกสโมสรครับ
ความใส่ใจต่อศิษย์ของอธิการหลุยส์ยังอยู่ที่การดูคุณภาพครู จึงวิชาไหนที่ครูอาจารย์ประจำไม่พอ ท่านจะจ้างครูดีๆ จากภายนอกมาสอนเป็นประจำ ไม่เสียดายเงิน มีหลายท่านที่มาจาก รร เตรียมทหาร หรือ รร ทหารอื่นๆ สอนเป็นประจำสม่ำเสมอ จนเราเรียกท่านว่า"มัสเซอร์"เหมือนกัน ครูภูมิศาสตร์ที่สอนเก่งมากคือ พันเอกชูนาถ สวัสดิชูโต ภาษาไทยมีครูชั้นยอดอย่าง พันเอกสะอาด อินทรสาลี กับครูในเอง คือท่าน "มหาเก่า" มัสเซอร์สนอง แพทย์พงศ์ ท่านผู้นี้ก็รักลูกศิษย์มาก ทุ่มเทสอนจนเป็นลมอยู่บ่อยๆ
ผมเข้ามาเรียน มศ 4 สอบครั้งแรกก็ได้ที่หนึ่งของห้องแล้ว ภาษาอังกฤษก็ได้ท้อปด้วย ครูประจำชั้นหยิบเรื่องนี้ขึ้นมาตำหนินักเรียนเก่าของโรงเรียนว่า "ภาษาอังกฤษก็สู้เด็กต่างจังหวัดเขาไม่ได้ อายเขาบ้างนะ" ผมหน้าม้านแทนเพื่อน ไม่ชอบ "หักหน้า" เพื่อน แต่เกลอที่เคยมองผมขำๆ ว่าเป็น "เด็กต่างจังหวัด" นั้น คงจะเริ่มมองผม "ขึ้น" เป็นครั้งแรก จากนั้นมา สอบอีกสี่ครั้งตลอดปี มศ 4 ผมก็ได้ที่หนึ่งของห้อง A ตลอด ส่วนอีกห้องหนึ่ง ห้อง B สอบได้ที่หนึ่งทุกครั้งจนสิ้นปีคือ สมบูรณ์ พันธุมโกมล
ห้องศิลป์นั้นที่หนึ่งคือ ชัยวัฒน์ สถาอานันท์ มี มานพ กับ วิริยะ เด็กสองคนที่ตาบอดสนิทมาจากเซนต์คาเบรียล สอบได้ที่สองสามตลอด ผมแอบถามชัยวัฒน์ว่านี่ถ้าสองคนนั่นตาไม่บอด คุณจะยังได้ที่หนึ่งไหม ชัยวัฒน์อมยิ้มบอก"ไม่แน่" วิริยะ ผู้นี้ต่อมาก็คือ ศ วิริยะ นามสิริพงษ์พันธ์ แห่งคณะนิติศาสตร์ของธรรมศาสตร์ นั่นเอง
ขึ้นมาเรียนชั้น มศ 5 ที่หนึ่งของสามห้องไม่เคยเปลี่ยน พอจบการศึกษาไปสอบข้อสอบกระทรวง ผมสอบได้ที่ห้าสิบกว่าของประเทศ และได้ที่หนึ่งของโรงเรียน เอาชนะสมบูรณ์หวุดหวิดเป็นครั้งแรก ส่วนชัยวัฒน์นั้นเก่งมาก สอบได้ที่ 13 ของประเทศไทยทีเดียวและที่หนึ่งของโรงเรียน
สมัยก่อนนั้นมีนักเรียนอัสสัมชัญได้ที่หนึ่งของประเทศอยู่บ้าง ที่จำกันได้ดีคือ พัทยา สายหู และเอี่ยม ฉายางาม ปีที่ประสาร ไตรรัตน์วรกุล สอบนั้น เขาได้อันดับที่ 9 ของประเทศ แต่โดยทั่วไปการเรียนของเราไม่ได้ยึดตามหลักสูตรกระทรวงทั้งดุ้น เราไม่ได้เน้นเรียนบางวิชา และเรียนอีกบางวิชาที่เขาไม่ออกข้อสอบ จึงไม่มีใครหวังว่าจะมีโอกาสสอบได้ที่ 1-9 ง่ายๆ แต่คณะอะไรที่สอบเข้ายากเข้าเย็นจะมีพวกเราแทรกเข้าไป 3-4 คนบ้าง 9-10 คน บ้าง
ในรุ่นที่ผมเข้าเรียนที่แพทย์จุฬาฯ ด้วยนั้น จากนักเรียนที่รับเข้า 100 คน มีนักเรียนที่จบมัธยมปลายจาก รร อัสสัมชัญ 4 คน จบจากอัสสัมชัญตอนมัธยมต้นแล้วไปต่อปลายที่ รร เตรียม 2 คน และหลังจากขับเคี่ยวกันไป 6 ปี ตอนจบที่หนึ่งของรุ่น 28 กลับเป็นนักเรียนอัสสัมชัญ วรุณ เลาหะประสิทธิ์ ที่เล่ามาแล้วว่าตอนนี้ผันตัวจากการเป็นศัลยแพทย์สมองและประสาทชั้นหนึ่งไปเป็นนักบวชฝรั่งที่เรียกว่า พาสเตอร์ (pastor) ด้วย
โรงเรียนอัสสัมชัญนั้นมีทั้งเด็กเรียน เด็กเรียนเก่ง เด็กเกเร เด็กไม่เรียน เด็กแปลกๆ แต่คนทั่วไปจะรู้แต่เพียงมีเด็กรวย ในแง่หนึ่งก็ไม่ผิด ศิษย์เก่าที่เป็นทายาทเศรษฐีมีไม่น้อย ที่เริ่มต้นธุรกิจเองแล้วร่ำรวยก็ไม่น้อย อุเทน เตชะไพบูลย์ ตำนานเจ้าสัวไทย นี่ก็ใช่ คนในตระกูลล่ำซำ หวั่งหลี จิราธิวัฒน์ ก็มีมาเรียนสม่ำเสมอ รุ่นผม ก็มีสุทธิพันธ์ จิราธิวัฒน์ เป็นต้น ที่น่าสังเกตคือ ชาติสิริ โสภณพานิช ศุภชัย เจียรวนนท์และ ฐาปน สิริวัฒนภักดี ล้วนเคยเข้าออกตรอกโอเรียนเต็ล เป็นนักเรียนเก่าอัสสัมชัญกันมาทั้งนั้น
แต่ที่คนไม่ค่อยตระหนักคือนักปราชญ์ นักประพันธ์ นักคิด ศิลปิน นักวิชาการ เรืองนามจำนวนมากก็ล้วนเคยเรียนอยู่แถวถนนเจริญกรุงย่านบางรักนี้มาแล้ว พระยาอนุมานราชธนหรือเสฐียรโกเศศ พระเจนดุริยางค์(ปิติ วาทยากร) ผู้แต่งเพลงชาติไทย ม.จ. อากาศดำเกิง รพีพัฒน์ ป อินทรปาลิต ประยูร จรรยาวงศ์ เหม เวชกร อุทธรณ์ พลกุล สุลักษณ์ ศิวรักษ์ สมปอง สุจริตกุล อวบ สานะเสน สิงห์โต จ่างตระกูล แมนรัตน์ ศรีกรานนท์ สันติ ลุนเผ่ นิรุตติ์ ศิริจรรยา พิเศษ เจียจันทร์พงษ์ อัมมาร สยามวาลา ศรีศักร วัลลิโภดม ชัยวัฒน์ สถาอานันท์ เกื้อ วงศ์บุญสิน พระไพศาล วิสาโล วันชัย ตันติวิทยาพิทักษ์ ไกรฤกษ์ นานา ยศ สันตสมบัติ ไชยันต์ ไชยพร วีระ สมบูรณ์ ธเนศ วงศ์ยานนาวา เทียรี่ เมฆวัฒนา บัณฑิต อึ้งรังษี และล่าสุด ปิยบุตร แสงกนกกุล ก็แลล้วนยืนอยู่ในขบวนแถวอันเหยียดยาวของชาว "แดงขาว" อัสสัมชัญ นั่นเอง
กำเนิดและประวัติอัสสัมชัญนั้น มิได้น่าสนใจสำหรับภราดา ครู นักเรียนและศิษย์เก่าเท่านั้น เพราะมันจะทำให้คนไทยทั่วไปได้เข้าใจในพัฒนาการสังคมสยามช่วงปฏิรูปของรัชกาลที่ห้าจนถึงช่วงท้ายของสมบูรณาญาสิทธิ์ไปจนถึงตลอดช่วงสี่สิบปีแรกหลังเปลียนแปลงการปกครองได้ดียิ่งขึ้น เรื่องราวของโรงเรียนอัสสัมชัญยังจะทำให้เราเข้าใจในรากเหง้าบางประการของคนชั้นกลางและเข้าใจในพัฒนาการทุนนิยมในประเทศไทยได้เพิ่มขึ้น ในแง่หนึ่ง "อัสสัมชัญ" นี้ เป็นบ่อเกิดสำคัญของชนชั้นกลางไทยและเป็นต้นกำเนิดทุนนิยมไทยไม่น้อย
นักเรียนอัสสัมชัญนั้นโดยทั่วไปไม่คุ้นเคยกับเกษตรกร ชาวนาชาวไร่ ผู้คนและชีวิตคนต่างจังหวัดและภูมิภาค พวกเขาเป็น "คนกรุง" ส่วนใหญ่เป็น "ลูกหลานเจ๊ก" นักเรียนอัสสัมชัญคนแรกมีหางเปีย ชื่อเซียวเม้งเต็ก
ที่โรงเรียนนี้พวกเขาจะถูกกลืนกลายเป็นคนไทยรุ่นใหม่ จะรีบลืมภาษาจีนของพ่อหรือแม่ด้วย ที่โรงเรียนจะไม่ได้เรียนภาษาจีน วัฒนธรรมจีน จะถูกเคียวเข็ญให้ใช้ภาษาอังกฤษ ฝรั่งเศส และไทย และจะชื่นชมฝรั่งเป็นพิเศษที่โรงเรียนนี้ แต่ขณะเดียวกันจะจงรักและจักเทิดทูนพระมหากษัตริย์ไทยและซึมซับความเป็นผู้ดีสยามอย่างชื่นชอบ ไปได้ดีทีเดียวกับปัญญาและค่านิยมผู้ดีสยาม อ้อ ที่โรงเรียนฝรั่งอัสสัมชัญก็มีเจ้านายไทยมาเรียนบ้าง ม.จ. อากาศดำเกิงนั่นก็หนึ่งองค์ล่ะ มาสมัยใกล้ผมเองมี ม.ร.ว. มาเรียน มาแต่เด็ก เป็นพวก "ทองใหญ่" ยังมีลูกญวน ลูกฝรั่ง ลูกแขกมุสลิมนี่ก็มากครับ นึกถึงเล็ก นานา อารี วงศ์อารยะ อัมมาร สยามวาลา ไกรฤกษ์ นานา ชัยวัฒน์ สถาอานันท์ ลูกแขกซิกข์โพกหัวก็มาก อ๋อ มีเด็กคริสตังด้วย นึกถึง ศ.นพ. จิตร สิทธีอมร เกียรติ สิทธีอมร เต็มไปหมด รุ่นแล้วรุ่นเล่า
ที่เราค่อนข้างจะขาดแคลนน่าจะเป็นเด็ก "ไทยแท้"
ชาวอัสสัมชัญนั้นคุ้นเคยที่สุดกับสังคมหพุนิยม อยากให้ลูกหลานโตขึ้นแล้วเป็น "ราดิคัล" หมายถึงคิดเปลี่ยนแปลงอะไรแบบถอนรากถอนโคน เป็น "ไทยแท้" หรือรู้สึกชิงชัง"ชนชั้นสูง" รังเกียจ "นายทุน" หรือนักธุรกิจ รังเกียจต่างชาติต่างวัฒนธรรม "ต่อต้านฝรั่ง" หรือไม่ชอบพิธีการพิธีกรรม ประเพณี และไม่ชอบอดีตหรือเกียรติประวัติใดๆ ทั้งมวลนี้ ขอครับ "จงอย่าส่งมาเรียนที่โรงเรียนอัสสัมชัญ" เป็นอันขาด
ทว่า กฏใดๆ ย่อมมีข้อยกเว้นเสมอ ผมเองก็พยายามออกจากกรอบเหล่านี้ในวัยต้นและกลางของชีวิต แต่มาบัดนี้เมื่ออายุมากขึ้นครัน ก็แปลกใจที่พบว่า ดีเอ็นเอ แบบ "อัสสัมชัญ" นั้นฝังลึกมากในจิตวิญญาณของตัวเอง ถอนตัวยากครับ
มีอะไรไหมที่ผมอยากหาญกล้าเสนอโรงเรียนที่เต็มไปด้วยเทรดิชันอย่างนี้ มีครับ ด้วยความรักในโรงเรียนเดิม My Alma Mater !
ประการแรก โรงเรียนต้องศึกษาและเอาข้อดีของโรงเรียนรัฐบาลมาเป็นแง่คิดเช่นกัน จะสอนแต่คนอื่น จะเป็นแต่ประภาคารตลอดเวลานั้น เป็นไปไม่ได้ น่าดีใจที่รัฐไทยสังคมไทยรุ่งเรืองและก้าวหน้าจนสร้างโรงเรียนดีเลิศขึ้นมาได้มากทีเดียว จิตรลดา วชิราวุธ สวนกุหลาบ เตรียมอุดม บรรดาสาธิตทั้งหลาย มหิดลวิทยานุสรณ์ มหาวชิราวุธ บุญวาทย์วิทยาลัย ยุพราชวิทยาลัย ล้วนยิ่งใหญ่ และหลายโรงอาจจะยืนยงต่อไปไม่แพ้อัสสัมชัญ
เมืองไทยนั้น ผมยินดีจะรายงานครับ ได้ก้าวหน้ามาจน โรงเรียนรัฐบาลทุกวันนี้ไม่แพ้ โรงเรียนฝรั่งแห่งศาสนาคริสต์แล้ว
สอง โรงเรียนน่าจะเชิญนักเรียนเก่าที่อาจร่วมกันและร่วมกับโรงเรียนพาอัสสัมชัญให้เข้าสู่ปีที่ 150 ในเวลาไม่ถึงยี่สิบปีข้างหน้าให้ดีกว่านี้ อีตัน แฮโรว์ ออกซฟอร์ด เคมบริดจ์ ทำอย่างไรจึงเป็นอันดับหนึ่งมาหลายร้อยปี
ห้วงยามที่เราจะต้อง rededicated หรือ ชวนกันมา "มุ่งมั่นตั้งใจใหม่" ที่จะนำโรงเรียนนี้ให้กลับมาสู่ความ "ล้ำเลิศ" และย้ำครับ ด้วยมาตรฐานของเราเองให้มากด้วยนะครับ ด้วยการช่วยกันอ่านให้ขาด อ่านอะไร? สถานการณ์ใหม่ และแนวโน้มใหม่ของโลกนะครับ มาถึงแล้วครับ ห้วงยามใหม่มาถึงแล้ว
อย่าลืมว่าโรงเรียนรุ่งโรจน์ขึ้นมาในอดีตในยุคที่โลกทั้งมวลเป็นของตะวันตก ลัทธิอาณานิคมแพร่ขยายตัวไปทั่วโลก สยามกำลังเดินทุกหนทางเพื่อพัฒนาตัวเองให้ศิวิไลซ์ทันที่จะหนีจากกรงเล็บของอังกฤษและโดยเฉพาะฝรั่งเศส แม้แต่บาดหลวงและนักบวชจากฝรั่งเศสมาสร้างโรงเรียนก็ยอม แต่ปัจจุบันนี้ ประเทศมหาอำนาจตะวันตกทั้งหลายไม่เหมือนเดิมแล้ว เริ่มจะถดถอย เริ่มช้า เริ่มวนกับที่ ในขณะที่ประเทศตะวันออกนับวันจะมีบทบาทและอำนาจมากขึ้น เราจะปรับทิศทางของโรงเรียนกันบ้างไหม
บราเดอร์หลุยส์ ชาแนลในวันนี้ท่านอายุแปดสิบสี่แล้ว กลับมาเป็นอธิการอีกครั้งหนึ่ง แม้ท่านจะไม่ยิ่งใหญ่เท่าบราเดอร์ฮีแลร์ แต่ยังมีบารมีสูงมาก ใครๆ ก็ล้วนนับถือท่าน บารมีนี้มากพอที่จะเชิญบุคคล และสมาชิกวงศ์ตระกูลเศรษฐีของอัสสัมชัญ มาบริจาคใส่เงินเข้าไปเป็นกองทุน หรือ endowment เป็นร้อยล้าน พันล้าน หมื่นล้าน ให้กับโรงเรียน ทุนเหล่านี้ควรนำไปให้กับลูกหลานชาวต่างจังหวัดห่างไกล เด็กจากชนบท เด็กจากประเทศเพื่อนบ้าน เด็กจากสลัมเด็กที่มาจากครอบครัวชนชาติส่วนน้อย คนไร้สัญชาติ เราต้องนำคนไทย"พันธ์ุใหม่ๆ" และ "พันธ์ุผสม" มาหล่อหลอมร่วมกับ "พันธ์ุเดิม" ในอัสสัมชัญ
ต้องเชิญบรรดาลูกศิษย์ที่เป็นนักคิด นักวิชาการ ศิลปิน นักการเมือง ที่กำลังสาละวนกับเรื่องร้อยแปด มาช่วยกันคิดช่วยกันสร้างคุณภาพโรงเรียนให้ "กลับ" เข้าใกล้อัสสัมชัญใน"ยุคทอง"
แน่นอนเราไม่มีผู้นำระดับบราเดอร์ฮีแลร์อีกแล้ว แน่นอนเราไม่มีนักเรียนเก่าระดับเจ้าพระยาศรีธรรมาธิเบศ พระยามานวราชเสวี พระยาศรีวิสารวาจา พระยาอนุมานราชธน พระยามโนปกรณ์นิติธาดา ควง อภัยวงศ์ ม.ร.ว. เสนีย์ ปราโมช สัญญา ธรรมศักดิ์ ป๋วย อึ๊งภากรณ์ ถนัด คอมันตร์ สุกิจ และ ไกรศรี นิมมานเหมินท์ เกษม จาติกวณิช หลวงอดุลยเดชจรัส ดิเรก ชัยนาม และน่าจะไม่มีอีกแล้วในอนาคต
คนเหล่านั้นได้ถูกเรายกจากปุถุชนขึ้นไปสถิตย์อยู่ในมหาวิหารอันรามเรืองไปแล้ว ท่านได้พ้นจากความเป็นคนไปเป็น"เทพ" ไปแล้ว แต่เราที่ยังต่อสู้ดิ้นรนต่อไป จะต้องพากันเดินตาม "เทพ เทวา" เหล่านั้น ฟื้นฟู "ยุคทอง" ที่ผ่านพ้นไปแล้ว ให้กลับฟื้นขึ้นมาอีก ด้วยคำขวัญ Labor Omnia Vincit ไม่ท้อถอย ไม่หวั่นไหวในภารกิจอันยากยิ่งนี้
ผมไม่ปรารถนาให้โรงเรียนอัสสัมชัญเป็นเหมือนโรงเรียนนานาชาติทั้งหลายที่กำลังผุดเกิดขึ้นทั่วประเทศ รร อัสสัมชัญในตอนก่อเกิดก็คือโรงเรียนนานาชาติอยู่แล้ว แต่โรงเรียนไม่ได้เป็นเพียงโรงเรียนฝรั่งเศส ยังสอนภาษาอังกฤษตามความต้องการของรัฐไทยด้วย สอนวรรณกรรมไทย หนังสือไทย ประวัติศาสตร์ไทยปลูกฝังความเป็นไทย อย่างน้อยก็ฉบับ "เจ๊กรับได้ เจ้าเห็นชอบ ไทยชื่นใจ ฝรั่งอนุโมทนา ชนชาติต่างๆไม่ขัด"
บราเดอร์ฮีแลร์ผู้มาอยู่เมืองไทยตั้งแต่หนุ่มและฝังกายของท่านลงในแผ่นดินไทย นอกจากท่านจะช่ำชองในภาษาฝรั่งเศสแล้ว ยังได้แต่งตำรา "ดรุณศึกษา"ให้เด็กอัสสัมชัญเรียนภาษาไทยด้วยครับ และภาษาไทยของเด็กอัสสัมชัญนั้นจัดอยู่ในชั้นดีเสียด้วย เด็กอัสสัมชัญในยุคต้นจึงเป็นทั้งไบลิงกวล (ไทย-อังกฤษ) และไตรลิงกวล (ไทย-ฝรั่งเศส-อังกฤษ) เหตุนี้ศิษย์เก่าโรงเรียนนานาชาติที่ชื่ออัสสัมชัญนี้จึงได้เข้ามาเป็นกำลังสำคัญของบ้านเมืองและสังคมเพราะภาษาไทยของพวกเขาถึงอย่างไรก็เป็นภาษาที่หนึ่งเสมอ
จะต้องคิดแล้วทำ ต้องเพียรพยายามสร้างสำนักศึกษาที่ดีเป็นเลิศกลับมาอีกครั้งหนึ่ง ในด้านหนึ่งเหมือนการต่อเนื่องจากโรงเรียนในปัจจุบัน แต่อีกด้านหนึ่งเหมือนการเกิดใหม่ สร้างภพใหม่ขึ้นมา ให้โรงเรียนบ่มเพาะ หรือสร้างคนอีกยุคหนึ่ง เพื่อให้ไทยให้รุ่งเรือง สันติสุข และมั่นคงยั่งยืนต่อไป นี่คือภารกิจที่ผมเห็นว่าเป็นของมวลอัสสัมชนิกในปีที่โรงเรียนอายุครบ 131 ปี