ประวัติศาสตร์ไทย: ช่วงยามแห่งเกียรติยศ
ผมซึ่งไม่ใช่พวกชาตินิยมเท่าไร ก็อดสรุปไม่ได้ว่า คนทุกวันนี้จะดูเบาประเทศเราและบรรพชนเราได้อย่างไร เรามีเกียรติประวัติที่น่าชื่นชมทีเดียว...
ศ.ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ โพตส์บทความในเฟซบุ๊กส่วนตัวเรื่อง ประวัติศาสตร์ไทย: ช่วงยามแห่งเกียรติยศ
-----
หรุ่ม โต้รากี่ ทำให้หลายท่านตื่นเต้นคาดไม่ถึงว่าจะมีบันทึกอันเรืองรองยิ่งของประวัติศาสตร์ตุรกี อาจมีคนถามว่า "เออ แล้วอดีตของไทยเราหล่ะมีอะไรไหมหนอที่จะเป็นเกียรติประวัติได้"
ตอบได้ว่า มองให้ลึกแล้ว มีมากทีเดียว มีหลายช่วงยามทีเดียว ที่เราภูมิใจกับประเทศนี้ได้
ก่อนอื่น เราคล้ายพวกเติร์กที่เล่ามาแล้ว คือเคลื่อนย้ายลงมาสู่ถิ่นปัจจุบันหลังชนชาติหรือชนเผ่าอื่นๆ นานครัน
สุวรรณภูมิเมื่อเราชาวสยามเคลื่อนย้ายลงมานั้นมีอาณาจักรพม่ามอญกับเขมรตั้งมั่นรุ่งเรืองอยู่ก่อน ก่อนเราหลายร้อยปีหรือเป็นพันปี
มอญทุกวันนี้ไม่เหลือเป็นประเทศแล้วแต่เมื่อก่อนมอญอยู่ทั่วภาคเหนือของไทย ก่อนจะมีล้านนาหกร้อยปีนั้นภาคเหนือของเราคือ หริภุญไชยของมอญเขานะครับ พระนางจามเทวีนั้นไซร้ก็คือนางพญามอญที่เสด็จจากละโว้ขึ้นไปครองดินแดนทางเหนือที่ต่อมาคือเมืองลำพูนครับ ภาคกลางของไทยทางฝั่งตะวันตกของเจ้าพระยาก็คือเมืองมอญโบราณเช่นกัน มิพักต้องพูดถึงมอญในพม่า แต่ย้ำอีกที ครับ เวลานี้ไม่มีประเทศมอญอีกแล้ว
เขมรหรือขอม เดิมนั้นรุ่งเรือง ยิ่งใหญ่ดินแดนแผ่ไพศาล กินไปถึงภาคอีสาน ลาว ภาคกลางของไทยด้านตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยา เขมรคือเจ้าของนครวัดนครธมที่อลังการตระการตาจนถึงทุกวันนี้
พม่าที่เราน้อยใจว่า ทำไมเรา "แพ้เขาได้ถึงสองครั้ง" ก็ยิ่งใหญ่เกรียงไกรอยู่ในสุวรรณภูมิก่อนเราลงมานานมาก พุกามเมืองหลวงเก่าของประเทศพม่านั้น เก่าแก่ ยิ่งใหญ่โอฬารไม่แพ้นครวัด ครับ ใครไม่เชื่อไปดูได้
สยามนั้นเริ่มต้นเป็นเพียง"อนารยชน" สร้างเมืองเล็กเมืองน้อย เป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรเหล่านี้ แต่แล้วในเวลาไม่กี่ร้อยปีก็ขยายตัวและตีชิงเอาคนและพื้นที่จาก "อารยชน" พวกนี้ได้ รับเอา "อารยธรรม" จากมอญและเขมรเป็นหลัก ต่อยอดได้ด้วย บรรพชนเราเรียนรู้จากคนอื่นได้เร็วมาก ผสมผสานกับผู้คนดั้งเดิมได้ดีด้วย
เมื่ออยุธยาตีเมืองพระนคร--นครธมนครวัด--ของเขมรแตกได้นั้น จัดเป็นปรากฏการณ์สั่นสะเทือนเลื่อนโลกของสุวรรณภูมิ ไม่ต่างจากที่ "คนป่า" อัตติลาและพวกฮันตี "กรุงโรม" แตก ไม่ต่างจากที่พวกเติร์ก "อนารยชน" จากทุ่งหญ้าตี "คอนสแตนติโนเปิล" ของ "รุม" แตก
ชัยชนะต่อเมืองพระนครของเขมรคือเกียรติประวัติของเรา แต่เป็นจุดพลิกเปลี่ยนเข้าสู่บทใหม่หรือภาคใหม่ของประวัติศาสตร์ทั้งสุวรรณภูมิทีเดียว
การเกิดขึ้นของรัฐไทยอิสระใหม่ๆไม่ว่าจะเป็นเชียงใหม่ พะเยา สุโขทัย และอยุธยาในเวลาต่อมานั้น นอกจากจะอธิบายด้วยความเข้มแข็งและความมุ่งมั่นของพวกเรากันเองแล้ว ยังเป็นเพราะเวลานั้น มองโกล ของเจงกิสข่าน และต่อมา กุบไลข่าน ทยานขึ้นเป็นมหาอำนาจที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่โลกเคยมีมา
พวกมองโกลตีจีน ยึดจีน ตีรัสเซียได้ ตีแบกแดดเมืองหลวงอิสลามโลกแตกตีเกาหลีแตก ตีญี่ปุ่นเกือบแตก นี่เราทราบกันดี แต่น้อยคนครับทีจะทราบว่าพวกมองโกลเคลื่อนทัพลงใต้ด้วย ตีพุกามของพม่าจนแตกยับ ตีเมืองพระนครของเขมรเสียหายย่อยยับจนเกือบแตก ตีชะวาเสียหายมาก พวกมองโกลนั้นใช้ปืนใหญ่และมีกองทัพเรือที่มีพลรบมหึมาด้วย ไม่ใช่รบด้วยม้าและธนูบนทุ่งหญ้าอย่างเดียว
และยิ่งน้อยคนอีกมาก ที่จะทราบว่ามองโกลตีเชียงรุ่งของคนไทยในจีนได้ และบุกใต้ลงกว่านั้นอีก ได้รบพุ่งกับกองทัพล้านนาของหลายเมือง แต่เอาชนะไม่ได้
"พญามังราย" วีรกษัตริย์แห่งเชียงใหม่นั้น ท่านชาญฉลาด ทรงย้ายเมืองหลวงบ่อยมาก ตลอดเวลา อยู่ไม่เป็นที่ จนกองทัพมองโกล-จีน-ฮ่อ ซึ่งเปลี่ยนมารบในเขตป่าดงดิบที่ไม่คุ้นเคย เหน็ดเหนื่อย อ่อนเพลีย และถูกซ้ำเติมด้วยไข้ป่ามาเลเรีย ล้มตายไปเยอะ ต้องถอยทัพกลับไปในที่สุด
การรุกลงใต้ของมองโกลเริ่มก่อนยุคที่สามกษัตริย์ มังราย งำเมือง และรามคำแหง ตั้งเมืองเชียงใหม่ พะเยา และ สุโขทัยราวร้อยปี และจะเลิกราไปหลังยุคนั้นอีกราวร้อยปี อำนาจอันเกรียงไกรของมองโกล--เจ้าของประวัติศาสตร์โลก ได้ทำลายหรือได้บั่นทอนอำนาจของพม่า และ เขมร ชะวา ลงไปมาก จนเชียงใหม่เอาชนะมอญที่ลำพูน สถาปนาล้านนา และไปตีพุกามของพม่าอีกครั้งหลังจากทีมองโกลถอยกลับไปแล้ว งำเมือง กษัตริย์อีกองค์ สถาปนาอำนาจพะเยา และรามคำแหง ที่ประวัติศาสตร์ไทยยกย่องมาก สถาปนาอำนาจสุโขทัย
น่าแปลก มหาอำนาจเดิมทั้งหลายของสุวรรณภูมิแพ้พ่ายและเสียหายจากมองโกล แต่รัฐเล็กรัฐน้อยของไท-ไต-ลาว กลับเอาตัวรอดได้ ภาคกลางและภาคใต้เราเอาตัวรอดจากมองโกลได้ ก็เพราะเชียงใหม่ยันทัพที่เอาชนะจีนและครึ่งหนึ่งของยุโรปได้ อย่างน่าอัศจรรย์
หลังจากหมดยุคมองโกลเป็นเจ้าของโลก อยุธยาจะเกิดขึ้นและขยายตัวจนเป็นศูนย์กลางของบรรดารัฐสยามทั้งปวงและจะแผ่อำนาจขึ้นมาใหญ่แทนมอญและเขมรในที่สุด
เมื่อฝรั่งเข้ามาล่าอาณานิคมในช่วงศตวรรษที19 นั้น ดินแดนที่ปัจจุบันเป็นเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ภาคพื้นทวีปนั้นจะเหลือสามมหาอำนาจอยู่เท่านั้น ได้แก่ พม่า สยาม เวียดนาม ส่วนลาว เขมร มลายู นั้น ไม่ใช่
เมื่อฉีกปฏิทินเริ่มปีที่หนึ่งของศตวรรษที่ 20 โลกแถบนี้จะพลันเหลือสยามอยู่ประเทศเดียว ด้านตะวันตกและด้านใต้ของสยามบัดนี้กลายเป็นจักรวรรดิ์อังกฤษ ด้านตะวันออกคือจักรวรรดิ์ฝรั่งเศส ด้านเหนือคือจักรวรรดิ์อังกฤษมาจรดกับจักรวรรดิ์ฝรั่งเศส ดูเถอะ มหาอำนาจเดิมอีกสองประเทศของดินแดนต้องตกเป็นเมืองขึ้นกลายเป็นขี้ข้าของฝรั่งไปแล้ว
ความจริงเอเชียเกือบทั้งทวีปล้วนตกเป็นเมืองขึ้นฝรั่ง โลกทั้งใบเป็นของฝรั่ง เหลืออยู่แต่เพียงจีน อิหร่าน ตุรกี ญี่ปุ่นและอัฟกานิสถานเท่านั้น นอกจากสยามที่รักษาเอกราชได้
ทว่า จีนนั้นมีพื้นที่ใหญ่กว่าเรากว่ายี่สิบเท่า มีประชากรมากที่สุดในโลก อิหร่านนั้นเคยรบกับกรีก มีดินแดนยาวเหยียดแผ่ไปชนกับกรีซทุกวันนี้ และเคยรบชนะโรมันมาแล้ว ตุรกีนั้นเล่าก็คือออตโตมานที่เคยครองสามทวีป ทั้งสามประเทศนั้นเคยเป็น "มหาอำนาจโลก" ว่าเช่นนั้น ส่วนอัฟกานิสถานนั้นพื้นที่ใหญ่โตกันดารลำบากจนไม่มีใครอยากได้เว้นแต่เอาเป็นรัฐกันชน
สยามนั้นเล็กกว่ามาก เทียบไม่ได้กับสามประเทศนั้น แม้จะเคยใหญ่มาในสุวรรณภูมิก็ตาม แต่เราคนละรุ่นกับสามยักษ์ใหญ่นั้น เรา "เล็กแต่แจ๋ว" คงพูดได้
แม้แต่อินเดีย "มารดาแห่งศาสนาและอารยธรรมไทย" เอง ยังตกเป็นเมืองขึ้นอังกฤษครับ มีแต่ญี่ปุ่นเท่านั้นซึ่งเหนือกว่าเราจริงๆ เขาพ้นจากอาณานิคมได้ทั้งที่ไม่ใหญ่โตหรือประชากรมากมาย และยังพัฒนาจนเป็นมหาอำนาจสมัยใหม่ทัดเทียมตะวันตกได้
อย่างนี้แล้ว ผมซึ่งไม่ใช่พวกชาตินิยมเท่าไร ก็อดสรุปไม่ได้ว่า คนทุกวันนี้จะดูเบาประเทศเราและบรรพชนเราได้อย่างไร เรามีเกียรติประวัติที่น่าชื่นชมทีเดียว