นักการศึกษาชี้ทักษะการทำซ้ำๆ ถูกแทนที่ด้วยเทคโนโลยี 4 ปีเสี่ยงตกงาน
ม.ธุรกิจบัณฑิตย์เปิดสถานการณ์ ‘ความต้องการแรงงานรุ่นใหม่’กับ ‘ช่องว่างทางทักษะ’สอดรับงานวิจัยร่วม OECD กับสสค.ชี้ ‘ทักษะ’ หลังปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 4 ต้องเน้นสร้าง ‘ทักษะคิดสร้างสรรค์’ เป็นตัวจุดต่างจาก ‘ทักษะประจำ’
วันที่ 12 กรกฏาคม 2559 สำนักงานส่งเสริมสังคมแห่งการเรียนรู้และคุณภาพเยาวชน (สสค.) ร่วมกับมหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ และธนาคารโลกจัดเสวนาเดินหน้าการศึกษาไทยอย่างไรให้ตอบโจทย์ ‘Thailand Economy 4.0’ จากมุมมองนักเศรษฐศาสตร์การศึกษารุ่นใหม่
ดร.ดิลกะ ลัทธพิพัฒน์ นักเศรษฐศาสตร์ด้านการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ธนาคารโลก กล่าวว่าประเทศไทยมีกำลังแรงงานในช่วงอายุ 15-65 ปี ราว 37 ล้านคน แต่ขาดแคลนแรงงานฝีมือซึ่งเป็นเป็นปัญหาใหญ่ในมุมผู้ประกอบการ ส่งผลให้ขีดความสามารถในการแข่งขันของไทยถดถอยลงมาตั้งแต่ปี 2007 ค่าจ้างของแรงงานทุกกลุ่มลดลงรุนแรง และมีแนวโน้มซบเซามากกว่า 10 ปีแล้ว (ก่อนเริ่มนโยบายค่าจ้างขั้นต่ำ 300 บาท) ซึ่งสวนทางกับตัวเลขการศึกษาของแรงงานไทยที่ดีขึ้น ถ้านับตามจำนวนปีการศึกษา โดยประเทศไทยมีปริมาณบัณฑิตเข้าสู่ตลาดแรงงานจำนวนมากแต่กลับขาดทักษะที่นายจ้างต้องการ ทำให้เสี่ยงต้องยอมทำงานรับค่าจ้างต่ำกว่าวุฒิ และออกไปอยู่ในภาคการผลิตที่ไม่เป็นทางการ ขณะที่แรงงานระดับล่างกว่า 1 ล้านคนว่างงานเป็นประจำอย่างน้อย 6 เดือนทุกปีเพราะขาดทักษะที่นายจ้างต้องการเช่นกัน
“แม้อัตราการเข้าเรียนต่อในระดับอุดมศึกษาของไทยจะสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่บัณฑิตที่จบออกมากลับมีความสามารถต่ำลง จากผลทดสอบนานาชาติ PISA นักเรียนไทยจำนวนมากยังขาดทักษะที่จำเป็นต่อการประสบความสำเร็จในอาชีพ หรือการเรียนต่อในระดับที่สูงขึ้น โดย 1 ใน 3 ของนักเรียนไทยที่อายุ 15ปี รู้หนังสือไม่เพียงพอที่จะใช้งานได้ และยังมีช่องว่างทักษะขั้นพื้นฐานอย่างการอ่านของเด็กไทยเปรียบเทียบในชนบทและในเมืองต่างกันมากถึง 3 ปีการศึกษา"
ดร.ดิลกะ กล่าวว่า หากเปรียบเทียบกับเวียดนาม จะพบว่าความสามารถของนักเรียนเวียดนามแซงหน้าเด็กไทยถึง 1.5 ปีการศึกษา นี่จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้นักลงทุนต่างชาติเมินลงทุนประเทศไทย เบนเข็มไปลงทุนและย้ายฐานการผลิตไปประเทศเพื่อนบ้านมากขึ้น เพราะคุณภาพแรงงานไม่พัฒนา ยังไม่นับรวมปัจจัยด้านคุณภาพของระบบราชการไทยและตัวชี้วัดด้านธรรมาภิบาลที่ดีลดลง ขณะที่ประเทศอื่นๆปรับปรุงดีขึ้น
ด้านดร.เกียรติอนันต์ ล้วนแก้ว คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ ม.ธุรกิจบัณฑิตย์ กล่าวว่า ประเทศไทยกำลังมุ่งหน้าสู่ Economy 4.0 ด้วย Education 2.0 ซึ่งไม่สามารถช่วยให้ผู้ที่เรียนจบปรับตัวให้เข้ากับโลกของการทำงานได้ เกิดปัญหาช่องว่างทางทักษะที่จะยิ่งรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ เพราะเศรษฐกิจปรับตัวแต่แรงงานไทยปรับตัวไม่ทัน ทำงานไม่ได้ตามที่นายจ้างคาดหวัง
"ม.ธุรกิจบัณฑิตย์ร่วมกับสสค.ได้วิจัยประเด็นช่องว่างทักษะเพื่อส่งเสริมการจัดการศึกษาเชิงพื้นที่ในจังหวัดเชียงใหม่ ภูเก็ต ตราด และอีก 14 จังหวัดทั่วประเทศพบว่า ช่องว่างทักษะสูงที่สุด 3 อันดับแรก ในกลุ่มจังหวัดที่มีระดับการพัฒนาเทียบเท่ากับ Economy 2.0 และกำลังพัฒนาไปสู่ Economy 3.0 คือ 1) ทักษะการใช้ภาษาต่างประเทศอื่นๆ 2) ทักษะการใช้ภาษาอังกฤษ และ 3) การใช้คอมพิวเตอร์และอินเตอร์เนต ในส่วนจังหวัดที่มีระดับการพัฒนาเทียบเท่ากับ Economy 3.0 และกำลังก้าวไปสู่ Economy 4.0 พบว่า มีช่องว่างทักษะเพิ่มขึ้นทุกประเด็น ถ้าไม่นับปัญหาภาษาต่างประเทศ ช่องว่างทักษะสูงที่สุด 3 อันดับแรก คือ 1) ความรู้เฉพาะตามตำแหน่งงานที่ทำ 2) การแก้ปัญหาที่เกี่ยวข้องกับงาน และ 3) ความสามารถในการเรียนรู้งาน
“หากเทียบกับผลสำรวจของสหราชอาณาจักรและแคนาดา ประเทศไทยมีปัญหาเรื่องช่องว่างทักษะรุนแรงกว่าสองประเทศนี้ถึงเท่าตัว และหากเปรียบเทียบความสามารถในการแข่งขันของทุนมนุษย์ไทยกับประเทศอื่นๆในเอเชียพบว่า ยังไม่ดีเท่ากับมาเลเซีย จีนและสิงคโปร์ ทั้งยังได้คะแนนคุณภาพการศึกษาด้านคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ต่ำกว่าประเทศเวียดนามที่เริ่มต้นช้ากว่า 15-20 ปี หรือแม้แต่ฟิลิปปินส์ที่มีรายได้ต่อหัวต่ำกว่าไทย"
ดร.เกียรติอนันต์ กล่าวถึงการศึกษาไทยในโลกยุคใหม่ต้องก้าวสู่การคิดวิเคราะห์ ค้นคว้าสิ่งใหม่ แต่ไทยยังท่องจำเพื่อไปสอบ ถ้าเรายังไม่ปรับตัวตอนนี้ เราอาจจะไม่ใช่สิ้นชาติ แต่จะหมดโอกาสในการสร้างชาติ เพราะการศึกษาจะเป็นเครื่องมือสำคัญในการยกระดับคุณภาพแรงงานคนให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงสู่ยุค Thailand Economy 4.0 ซึ่งระบบการศึกษาที่จะตอบโจทย์นี้ต้องเปลี่ยนวิธีการสอน ลดการเรียนรู้เชิงเทคนิค และการท่องจำ แต่ให้น้ำหนักกับการสร้างทักษะการเรียนรู้และปรับตัวของผู้เรียนให้สามารถพัฒนาตนเองได้ตลอดชีวิต และจัดการเรียนรู้โดยคำนึงถึงความต้องการของตลาดแรงงานในพื้นที่และกลุ่มจังหวัดใกล้เคียง รวมทั้งมีวิธีการประเมินผลการเรียนแตกต่างจากปัจจุบันที่เน้นการสอบเพียงอย่างเดียว
ส่วนดร.ไกรยส ภัทราวาท ผู้เชี่ยวชาญด้านนโยบายเศรษฐศาสตร์การศึกษา สสค.กล่าวว่า พายุไต้ฝุ่นระดับ 5 กำลังทำลายตลาดแรงงานไทย สถานการณ์เลิกจ้าง ตัวเลขบัณฑิตตกงานจะเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง เป็นผลพวงจากการเปลี่ยนแปลงของระบบเศรษฐกิจโลกที่กำลังเข้าสู่การปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 4 ในอีก 5 ปีถัดจากนี้ จะเน้นการใช้เทคโนโลยีและเครื่องจักรเข้ามาแทนที่แรงงานมนุษย์ โดยเฉพาะแรงงานที่ใช้ “ทักษะการทำซ้ำเป็นประจำ” (Routine Skill) จะถูกแทนที่ด้วยเทคโนโลยีการผลิตที่ทันสมัย ซึ่งมีประสิทธิภาพการผลิตที่สูงกว่ามนุษย์และมีต้นทุนต่อหน่วยที่ถูกกว่า ดังนั้นแรงงานที่ยังไม่สามารถแทนที่ได้ด้วยเทคโนโลยีเหล่านี้คือแรงงานที่มี “ทักษะที่ไม่ซ้ำซ้อน (Non-Routine Skill) หรือ “ทักษะแห่งศตวรรษที่ 21” เช่นทักษะคิดสร้างสรรค์ หรือการคิดวิเคราะห์ (Creative & Critical Thinking Skills) ซึ่งสามารถสร้างความได้เปรียบเหนือคู่แข่งทางธุรกิจในตลาดได้
ทั้งนี้ ดร.ไกรยส ได้ยกผลสำรวจความต้องการแรงงานของนายจ้างและองค์กรเกิดใหม่ในปี 2557 ขององค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD) ซึ่งเป็นผู้ริเริ่มโครงการประเมินผลนักเรียนร่วมกับนานาชาติ (Programme for International Student Assessment: PISA) พบว่า นายจ้างขององค์กรในศตวรรษที่ 21 คาดหวังให้พนักงานในองค์กรมีทักษะด้านการคิดวิเคราะห์ (Critical Thinking) และความคิดสร้างสรรค์ (Creativity) มากที่สุด โดยสสค.เป็นหนึ่งองค์กรการศึกษาใน 14 ประเทศทั่วโลกที่ OECD เชิญเข้าร่วมนำร่องเครื่องมือวัดประเมินทักษะด้านการคิดวิเคราะห์คิดสร้างสรรค์ ซึ่งจะมีการประกาศใช้จริงครั้งแรกในปี 2021 เพื่อเป็นการส่งสัญญาณให้ประเทศต่างๆเร่งพัฒนาทักษะแห่งอนาคตเหล่านี้เพื่อสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันและการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจให้ต่อเนื่องได้ในยุคการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 4
“ทักษะซ้ำๆจะหมดโอกาสในการทำงาน ในปี 2020 1 ใน 3 ของทักษะที่เป็นที่ต้องการในปัจจุบันจะล้าสมัย 65% ของงานใน 10 ปีข้างหน้ายังไม่เกิดขึ้น หมายความว่า เด็กไทยในระบบการศึกษาปัจจุบันเดินเข้าสู่ตลาดแรงงานในภาวะที่อาชีพในอนาคตของพวกเขายังไม่เคยมีอยู่แล้วระบบการศึกษาจะสอนเด็กอย่างไร ทักษะเหล่านี้มีอยู่ในระบบการศึกษาของไทยแล้วหรือยัง เป็นความท้าทายว่า ไทยสามารถสร้าง The New S-Curve ใหม่ในยุคการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 4 นี้ได้หรือไม่ The New S-Curve ใหม่ของไทยคืออะไร และจะส่งผลให้กำลังแรงงานไทยรุ่นใหม่สามารถก้าวออกจากกับดักรายได้ปานกลางได้ในเร็ววันนี้หรือไม่ ระบบการศึกษาไทยจึงจำเป็นปรับตัวเพื่อตอบโจทย์ความนี้ให้ได้ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาคุณภาพชีวิตมนุษย์ควรร่วมมือกันในการพัฒนาทักษะ ปฏิรูปการเรียนรู้ และแทนที่การเรียนรู้ที่ไม่ตรงต่อความต้องการทักษะในปัจจุบัน ด้วยการเรียนรู้ทักษะที่เป็นที่ต้องการในปัจจุบันและในอนาคต”