ไฟใต้...ศึกในหนักกว่า!
ปัญหาความไม่สงบที่ปลายด้ามขวาน ถึงวันนี้พิสูจน์แล้วว่า 2 ปีเศษของ คสช.ไม่ได้ทำให้สถานการณ์ดีขึ้นสักเท่าไร
จะอ้างสถิติตัวเลขว่าดีขึ้นอย่างไรก็อ้างได้ แต่ความจริงก็เห็นอยู่กับตา ได้ยิน (เสียงระเบิด) อยู่กับหู และชาวบ้านที่นั่นเขาก็รู้อยู่เต็มหัวใจว่ามันไม่ได้ดีขึ้น
ตัวเลขที่ดูดีขึ้นบ้างเป็นเพราะการต่อสู้ทางยุทธการที่ฝ่ายทหารเริ่มดักทางกลุ่มก่อความไม่สงบได้มากขึ้นกว่าเดิม เพราะสู้มานานถึง 12 ปี ประกอบกับปัจจุบันวางกำลังทหารพรานครอบคลุมทุกพื้นที่มากถึง 12 กรม 172 กองร้อย ไม่นับทหารพรานหญิงอีก 9 หมวด (และยังมีตำรวจหน่วยปฏิบัติการพิเศษที่ตั้งฐานเป็นหมวดๆ อยู่อีกไม่ต่ำกว่า 3 พันนาย)
แต้มต่อของรัฐบาล คสช.ในการแก้ปัญหาภาคใต้ที่ประกาศตั้งแต่วันแรกที่มีอำนาจ คือ “เอกภาพ” เพราะทหารคุมเบ็ดเสร็จทั้งหมด แต่ผ่านมา 2 ปี วันนี้โครงสร้างเป็นเอกภาพจริง เพราะทั้งงานการทหาร งานการเมือง (พัฒนา) และการจัดงบประมาณ ล้วนอยู่ในมือ กอ.รมน.ทั้งสิ้น
ศอ.บต. หรือ ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่เคยเป็นหน่วยงานด้านการพัฒนาและอำนวยความยุติธรรม ซึ่งกฎหมายออกแบบให้ถ่วงดุลกับ กอ.รมน.ที่ดูแลงานด้านความมั่นคงนั้น ก็มีคำสั่งหัวหน้า คสช.บอนไซให้ไปอยู่ใต้กำกับของ กอ.รมน.เรียบร้อย
นั่นคือเอกภาพในแบบ คสช. และเป็นเพียง “ฉากหน้า” หรือ “ภาพภายนอก” เท่านั้น เพราะ “ไส้ใน” เป็นอีกเรื่องอย่างสิ้นเชิง
เริ่มจาก คปต. หรือคณะกรรมการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ เข้าใจว่าวันนี้ รองนายกฯประวิตร วงษ์สุวรรณ เป็นประธานเอง แต่ท่านเป็นรองนายกฯความมั่นคง ควบ รมว.กลาโหม ภารกิจจึงมาก ไม่ได้ลงไปคลุกกับปัญหา รับฟังจากรายงานอย่างเดียว
เห็นชัดเมื่อวันก่อนท่านพูดว่า 10 วันสุดท้ายรอมฎอนเกิดระเบิดเฉพาะแถวค่ายทหาร ฐานตำรวจ ห่างไกลชุมชนหลายกิโลเมตร แต่ 1 วันก่อนที่ท่านพูด มีระเบิดใกล้มัสยิดกลางปัตตานี อยู่ในเขตเทศบาล ย่านชุมชน ซ้ำยังมียิงเอ็ม 79 ใส่บ้านชาวบ้านที่บันนังสตา จ.ยะลา ทำให้มีผู้เสียชีวิต 1 คน เป็นคนแก่ บาดเจ็บ 2 คน หนึ่งในนั้นเป็นเด็ก
นี่สะท้อนว่าท่านไม่ได้เจาะลึกในรายละเอียดเลย...
ส่วนประธาน คปต.เดิม คือท่าน พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร รมช.กลาโหม หายเข้ากลีบเมฆไปเลยตั้งแต่ข่าวอุทยานราชภักดิ์เริ่มซา
ข้าราชการระดับสูงที่คุมงานด้านการพัฒนา วันนี้ก็ทำงานสภาอยู่ใน สนช. ไม่ต่างอะไรกับอดีตนายทหารใหญ่ที่เป็นหัวหน้าทีมพูดคุยดับไฟใต้ แต่ละสัปดาห์ก็ต้องประชุมสภากันไม่ขาด เลยไม่รู้ใช้เวลาไหนดูแลงานในพื้นที่ หรือเจรจาพาทีกับกลุ่มผู้เห็นต่างจากรัฐ
ที่ผ่านมาในรัฐบาลพลเรือน เราเรียกร้องให้มี “รัฐมนตรี” ทำงานเต็มเวลา เพื่อแก้ปัญหาภาคใต้ แต่รัฐบาลชุดนี้ อย่าว่าแต่รัฐมนตรีเลย ข้าราชการที่ต้องทำงานเต็มเวลายังมาอยู่สภามากกว่าที่โต๊ะทำงานตัวเอง
ปกติสภาเขามีไว้ตรวจสอบฝ่ายบริหาร ข้าราชการก็เป็นกลไกของฝ่ายบริหาร แต่นี่เอาข้าราชการมาอยู่ในสภา แล้วจะตรวจสอบกันอย่างไร ถามไปก็บอกว่าเป็นช่วงเวลาพิเศษ สถานการณ์ไม่ปกติ ฯลฯ
ไปดูในพื้นที่กันบ้าง แม่ทัพภาค 4 ที่เปรียบเสมือน “กัปตันทีม” ในการทำงานในพื้นที่ หลายเดือนมานี้เรียกได้ว่าหายต๋อมไปเลย แทบไม่มีใครเคยเห็นหน้า มีคนบอกว่าวางตัว “พลตรี รุ่น 18” ไว้รับไม้ต่อ เลยหลีกทางให้รองแม่ทัพคนนี้ได้โชว์ผลงานเต็มที่ ขณะที่ตัวเองเตรียมตัวเกษียณ
ล่าสุดมีการเขย่าโยกย้าย ผบ.ฉก.ทหารพรานเป็นการภายใน ดันเด็กสายรองแม่ทัพคนนี้ขึ้นคุมพื้นที่ทั้งหมด
แต่ “รุ่น 18” ไม่ได้มาคนเดียว ยังมีอีกคนเพิ่งได้ติดยศ “พลโท” หมาดๆ แถมนามสกุลเดียวกับ ผบ.ทบ. ได้ข่าวว่ามีคนพยายามปูทางให้ขึ้นแม่ทัพเช่นกัน แม้ว่าจะแทบไม่เคยคุมหน่วยกำลังมาเลยก็ตาม!!
ขณะที่ “พลโท” อีกคนอยู่รุ่น 17 ก็เอ่ยกับใครต่อใครขอจองเก้าอี้ “แม่ทัพใหญ่” ไว้ตั้งแต่ปีมะโว้
นี่เป็น “ศึกใน” เฉพาะสีเขียว ส่วนสีอื่นๆ ไม่มีใครกล้ามีเอี่ยว เพราะยุคนี้ทหารคุม!
------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
บรรยายภาพ : พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี