ปธ.สโมสรรัฐสภาอุทธรณ์สู้! ยันยืมเงินสร้างพระโปร่งใส-ช็อคถูกไล่ออก
ปธ.สโมสรรัฐสภาช็อค! เตรียมยื่นอุทธรณ์สู้ หลังถูกคำสั่งไล่ออกปมยืมเงินสโมสรฯสร้างหลวงพ่อทวด 3.4 ล้าน ยุค ‘จเร’ นั่งเลขาสภาฯ ยันดำเนินการทุกอย่างโปร่งใส มีบันทึกเบิกจ่ายถูกต้อง ชี้คำสั่งเขียนคลุมเครือ
จากกรณีนายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ลงนามคำสั่งไล่ออกนายสมชาติ ธรรมศิริ ข้าราชการรัฐสภาสามัญ ตำแหน่งที่ปรึกษากฎหมาย (นิติกรทรงคุณวุฒิ) สังกัดสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร กระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรง กรณีมีตำแหน่งเป็นประธานกรรมการสโมสรรัฐสภาและผู้จัดการสโมสรรัฐสภา ชุดที่มีนายจเร พันธุ์เปรื่อง เป็นเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งมีการขออนุมัติยืมเงินสโมสรรัฐสภาจำนวนเงิน 3,450,578 บาท ไปให้สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรจัดสร้างวัตถุมงคล (หลวงพ่อทวด) โดยไม่มีอำนาจและกฎหมายรองรับ โดยนายายสมชาติ มีสิทธิอุทธรณ์ต่อ ก.ร.ได้ภายใน30 วัน นับแต่วันที่ได้รับทราบคำสั่งลงโทษหรือถือว่าทราบคำสั่งลงโทษนั้น
(อ่านประกอบ : สนช.ไล่ออก'ปธ.สโมสรรัฐสภา' เอื้อประโยชน์ให้ยืมเงิน3ล.สร้างหลวงพ่อทวดมิชอบ)
ล่าสุด นายสมชาติ ให้สัมภาษณ์สำนักข่าวอิศรา www.isranews.org ถึงกรณีนี้ว่า เบื้องต้นต้องเข้าใจข้อมูลก่อนว่า สโมสรฯเป็นหนึ่งในส่วนงานของสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งปกติจะมี ส.ส. และ ส.ว. เป็นกรรมการ แต่ตอนที่ตั้งตนขึ้นเป็นประธานสโมสรฯนั้น คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ได้ยึดอำนาจ จึงไม่มี ส.ส. และ ส.ว. กระทั่งมีการตั้งสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) จึงมีการตั้งตนเป็นประธานสโมสรฯ
นายสมชาติ กล่าวว่า กรณีนี้สำนักงานเลขาธิการฯต้องการหารายได้เข้าสวัสดิการรัฐสภา จึงมีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการจัดสร้างวัตถุมงคล (หลวงพ่อทวด) ดังกล่าว มีตนเป็นรองประธานคนที่ 2 มีนายธงชัย ดุลยสุข อดีตรองเลขาธิการฯเป็นประธาน โดยที่ประชุมดังกล่าวเสนอกันว่า ก่อนหน้านี้สโมสรฯเคยให้สำนักงานเลขาธิการฯยืมเงินมาแล้ว จึงมีมติยืมเงินสโมสรฯจำนวน 3.4 ล้านบาท เพื่อนำไปสร้างพระ ได้กำไรเอาเข้าสวัสดิการ ส่วนเงินต้นส่งคืนสโมสรฯ ซึ่งเป็นธรรมชาติของการสร้างพระ ที่ต้องทยอยคืน ไม่ได้คืนหมดในก้อนเดียว
นายสมชาติ กล่าวอีกว่า หลังจากนั้นเมื่อคณะกรรมการจัดสร้างวัตถุมงคลมีมติให้ยืมเงินสโมสรฯ นายธงชัยจึงทำหนังสือถึงนายจเร เลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร (ขณะนั้น) ต่อมานายจเรอนุมัติเห็นชอบ จึงส่งเรื่องมาที่ตนในฐานประธานสโมสรฯ ตนได้นำเรื่องเข้าสู่ที่ประชุม และที่ประชุมก็มีมติอนุมัติเห็นชอบตามนั้น
“ในการยืมเงินสโมสร ผมไม่ได้ถือเงินเลย กองคลังเป็นคนถือทั้งหมด เพราะกองคลังมีหน้าที่ดูแลเงินและบัญชี โดยเป็นการหักเงินในบัญชีจากกองคลัง มีบันทึกการขอเบิกเงินถูกต้องทุกประการ และได้นำเงินตรงนี้ไปสร้างพระ พอสร้างเสร็จ 1-2 ปีมานี้ ปล่อยเช่าได้ประมาณ 1 ล้านบาท สำนักงานเลขาธิการฯขอใช้สวัสดิการครึ่งหนึ่ง เราก็โอนให้ 5 แสนบาท ส่วนอีกครึ่งหนึ่งเราก็ส่งคืนสโมสรฯ และตอนนี้พระก็ยังให้เช่าอยู่ ถ้ามีรายได้เราก็ทยอยใช้คืนไปเรื่อย ๆ และเงินที่ยืมนี้ก็ไม่ใช่งบประมาณแผ่นดิน สโมสรก็ไม่ใช่นิติบุคคล เมื่อมีคำสั่งมาอย่างนี้ก็ช็อคเหมือนกันว่า ทำไมมันถึงออกมาแบบนี้” นายสมชาติ กล่าว
เมื่อถามว่า คำสั่งดังกล่าวระบุว่า การยืมเงินโดยไม่มีกฎหมายรองรับ นายสมชาติ กล่าวว่า สโมสรฯเป็นสวัสดิการ หลักการทำงานคือ เมื่อคณะกรรมการฯมีมติอย่างไร ก็บริหารงานไปตามมตินั้น ซึ่งมตินี้ไม่ใช่อยากทำก็ทำได้ ต้องดูแบบแผนการปฏิบัติว่า ประธานสโมสรรุ่นก่อนทำอย่างไร ก็ทำตามนั้นทั้งหมด อย่าลืมว่าตอนยึดอำนาจ ไม่มีประธาน ไม่มีข้อบังคับ ทุกอย่างถูกฉีกหมด หลังจากนั้นพอมีมติให้ยืมเงิน ก็ส่งให้กองคลัง กองคลังพิจารณาดูแล้วเห็นว่าเบิกจ่ายได้ ก็ทำเรื่องเบิกจ่าย หักลบกลบบัญชีกันไป
“ท้ายที่สุดแล้ว ปล่อยเช่าพระก็ได้เงินคืนอยู่แล้ว แต่เป็นการทยอยคืน กำไรก็เอาเข้าสวัสดิการ สโมสรฯไม่ได้หากำไรจากดอกเบี้ยเงินฝากจากธนาคาร ซึ่งคำสั่งไล่ออกนี้ตกหล่นอะไรไปเยอะ เมื่อมีคำสั่งออกมาแต่พอเขียนไม่ครบลักษณะเช่นนี้ มันก็เหมือนกับว่าทำให้ผมลงมติเพื่อพวกพ้อง มันคนละเรื่อง ประเด็นหลักการขัดกันของผลประโยชน์มันมี ถ้าเรื่องไหนเห็นว่าใครได้ผลประโยชน์ก็ห้ามลงมติ แต่นี่มีการลงมติ 2 เรื่องคือ มติคณะกรรมการจัดสร้างวัตถุมงคล และมติคณะกรรมการสโมสรฯที่เกี่ยวกับการบริหารเงิน ซึ่งผมในฐานะคนลงมติทั้งสองอย่าง ไม่ได้รับประโยชน์อะไรเลย แม้แต่เบี้ยประชุมจากการเป็นกรรมการสโมสรก็ไม่ได้” นายสมชาติ กล่าว
เมื่อถามว่า ในเมื่องบดังกล่าวไม่ใช่งบแผ่นดิน สามารถไล่ออกได้หรือไม่ และจะยื่นอุทธรณ์หรือไม่ นายสมชาติ กล่าวว่า เรื่องนี้ไม่รู้ว่าคณะกรรมการสอบสวนฯ ดำเนินการแบบไหน แต่ข้อเท็จจริงก็อย่างที่ตนอธิบายมาทั้งหมด และจะยื่นอุทธรณ์ เพราะเมื่อมีคำสั่งไล่ออก ก็ต้องปฏิบัติตาม บำเหน็จบำนาญไม่ได้ไม่เป็นอะไร แต่ต้องใช้สิทธิ์ตามกฏหมายต่อสู้ต่อไป