ป.ป.ช.ยันดึงคดี ผอ.สำนักพุทธฯสงขลาเรียกรับเงิน 3.2 ล.มาไต่สวนเอง
ป.ป.ช. เผยรายงานคดีนี้ให้คณะกรรมการชุดใหญ่ทราบแล้ว อยู่ระหว่างการพิจารณา ยันดึงคดีนี้กลับมาไต่สวนเองแน่
จากกรณีสำนักงานอัยการ จ.สงขลา มีคำสั่งไม่ฟ้องนายเสถียร ดำรงคดีราษฎร์ ผอ.สำนักพระพุทธศาสนา จ.สงขลา ที่ถูกกล่าวหาทำความผิดฐานเรียกรับเงินจากวัด จำนวน 3.2 ล้านบาท โดยให้เหตุผลว่า พยานหลักฐานไม่พอฟ้อง หลังจากที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) จ.สงขลา สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ภาค 15 และ สภ.เมืองสงขลา ดำเนินการบุกจับกุมพร้อมของกลาง เมื่อช่วง ส.ค. 2558
ขณะเดียวกันแหล่งข่าวจาก ป.ป.ช. ระบุว่า กรณีนี้อยู่ในอำนาจการไต่สวนของคณะกรรมการ ป.ป.ช. แม้ว่าการสอบสวนจะยุติแล้วก็ตาม ภายหลังที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติให้พนักงานสอบสวน สภ.เมืองสงขลา สอบสวน และส่งสำนวนให้อัยการ แล้วอัยการไม่สั่งฟ้อง รวมถึงผู้บังคับบัญชาตำรวจภูธรประจำภาคมีคำสั่งเห็นพ้องตามอัยการคือไม่ฟ้องก็ตาม แต่คดีก็ยังไม่ยุติ เนื่องจากคณะกรรมการ ป.ป.ช. มีอำนาจที่จะสั่งให้มีการสอบสวนเพิ่มเติม หรือดึงเรื่องดังกล่าวกลับมาไต่สวนเองได้ใหม่อยู่ดี
(อ่านประกอบ : ไขปริศนา? ทำไมอัยการไม่ฟ้อง ผอ.สำนักพุทธฯสงขลาเรียกรับเงิน 3.2 ล., หลักฐานไม่พอ! อัยการไม่ฟ้อง ผอ.สำนักพุทธฯสงขลาเรียกรับเงินวัด 3.2 ล.)
ล่าสุด สำนักข่าวอิศรา www.isranews.org ได้รับการยืนยันจากแหล่งข่าวในสำนักงาน ป.ป.ช.สงขลา ถึงกรณีนี้ว่า ได้รายงานเรื่องดังกล่าวให้กับคณะกรรมการ ป.ป.ช. รับทราบแล้ว ขณะนี้อยู่ระหว่างการขั้นตอนดำเนินการ ยืนยันว่าคดีนี้ ป.ป.ช. จะดำเนินการไต่สวนใหม่อย่างแน่นอน แต่ยังไม่สามารถบอกรายละเอียดอะไรได้ ต้องรอให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. พิจารณาก่อน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับมาตรา 89/1 ของ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 ระบุว่า ในกรณีที่มีการควบคุมตัวผู้ถูกกล่าวหาไว้ในอำนาจของศาลเนื่องจากมีการจับผู้ถูกกล่าวหาไว้ระหว่างดำเนินคดีตามมาตรา 89 ให้พนักงานสอบสวนมีอำนาจขอให้ศาลควบคุมตัวผู้ถูกกล่าวหาไว้ได้ต่อไป และให้พนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบแจ้งให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. ทราบ เพื่อดำเนินคดีต่อไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาโดยไม่ต้องส่งเรื่องมาให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. ดำเนินการ
กรณีที่พนักงานสอบสวนหรือพนักงานอัยการมีคำสั่งไม่ฟ้องผู้ถูกกล่าวหา ให้รายงานให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. ทราบ กรณีดังกล่าวคณะกรรมการ ป.ป.ช. อาจเรียกสำนวนการสอบสวนพร้อมพยานหลักฐานและเอกสารที่เกี่ยวข้องจากพนักงานสอบสวนหรือพนักงานอัยการมาพิจารณาหรือไต่สวนข้อเท็จจริงใหม่ก็ได้
การดำเนินการของพนักงานสอบสวนตามวรรคหนึ่ง ย่อมไม่ตัดอำนาจของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ที่จะดำเนินการไต่สวนข้อเท็จจริงเอง หรือมอบหมายให้พนักงานไต่สวนเข้าร่วมสอบสวนกับพนักงานสอบสวนก็ได้ ให้พนักงานสอบสวนแจ้งให้ผู้บังคับบัญชาหรือผู้มีอำนาจแต่งตั้งถอดถอนของผู้ถูกกล่าวหาดำเนินการทางวินัยตามกฎหมาย กฎ ข้อบังคับหรือระเบียบ ที่ใช้บังคับกับผู้ถูกกล่าวหานั้นด้วย